xs
xsm
sm
md
lg

"ดีเอสไอ-อัยการ" ลงมติเรียก 7 ตร.จร. รุมตื้บหนุ่มเจ็บสาหัส เอาผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ 9 ก.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - "วัชรินทร์" เผยมติประชุมร่วมดีเอสไอ เรียก 7 จราจร รุมทำร้ายร่างกายลูกอดีตตำรวจ แจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ วันที่ 9 ก.ค. ให้สิทธิ์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

วันนี้ (18 มิ.ย.) อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.อุ้มหายฯ) พร้อมด้วย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานอัยการ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 134/2567 กรณี นายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ถูก 7 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่วมประชุมสรุปความคืบหน้าทางคดี พร้อมลงมติเเจ้งข้อกล่าวหา

นายวัชรินทร์ เปิดเผยหลังการประชุม ว่า ในที่ประชุมได้มีการลงมติแจ้งข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร 7 ราย ประกอบด้วย ยศร้อยตำรวจเอก จำนวน 1 ราย, ยศสิบตำรวจเอก จำนวน 5 ราย และสิบตำรวจโท จำนวน 1 ราย ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 "พ.ร.บ.อุ้มหายฯ" ในมาตรา 5 คือ ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด โดยเหตุเกิดจากผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผิดตัว เพราะความเข้าใจผิด จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ โดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ลงความเห็นมีมติแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวแก่เจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนัดหมายให้มารับทราบข้อกล่าวหา ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 9 ก.ค.68 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

นายวัชรินทร์ เผยว่า การประชุมก่อนมีมติลงความเห็นแจ้งข้อกล่าวหานั้น คณะพนักงานสอบสวนได้มีการประชุมพิจารณาทุกมาตราที่อยู่ใน พ.ร.บ.อุ้มหายฯ โดยไล่เรียงมาตั้งแต่ มาตรา 5 เนื่องจากพบว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ มีหลักฐานทั้งจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร และกล้องติดตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ Body Camera พบพฤติกรรมชัดเจนว่าร่วมกันทำร้ายร่างกาย และไม่มีใครห้ามปรามกันเลย ไม่มีใครพูดขอให้หยุดการกระทำดังกล่าว

นายวัชรินทร์ เผยอีกว่า ส่วนกรณีไม่เข้าข่าย มาตรา 7 คือ การจับกุมตัวแล้วไม่นำส่งพนักงานสอบสวนนั้น คณะพนักงานสอบสวนเล็งเห็นว่าในการจับกุมตัว ได้มีน้องสาวของผู้เสียหายมาถึงที่เกิดเหตุ และผู้เสียหายได้รับการส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงไม่เป็นการมีเจตนาปกปิดชะตากรรมของผู้เสียหาย กรณีตาม มาตรา 22 หรือที่เรียกว่าเป็นการกระทำละเว้นการปฎิบัติหน้าที่นั้น คณะพนักงานสอบสวนได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ไม่มีการแจ้งการจับกุมตัวทันทีในวันเกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งการจับกุมตัวในภายหลัง จึงไม่ดำเนินคดีในส่วนของมาตรานี้เช่นเดียวกัน

"ขณะที่ มาตรา 42 ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของตำรวจทั้ง 7 นาย ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางสายบังคับบัญชาได้มีการจัดทำรายงานบอกกล่าวครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสารวัตร ผู้กำกับการ ไปจนถึงระดับตำรวจนครบาล (บช.น.) และได้มีการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ซึ่งก็คือการให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงเป็นผลสรุปว่าในส่วนของผู้บังคับบัญชาจึงไม่ถูกดำเนินคดีตามมาตรานี้"

นายวัชรินทร์ เผยด้วยว่า สำหรับอัตราโทษของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มาตรา 5 ซึ่งมีโทษสูงสุดถึง 15 ปี ทั้งยังพิจารณาในส่วนของมาตรา 172 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ดี หากเมื่อสำนวนไปถึงชั้นศาล แล้วทางผู้ต้องหาได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยดูแลค่าเสียหายเยียวยาแก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้หรือไม่นั้น จะเป็นดุลพินิจของศาลในอนาคต เพราะถ้าผู้เสียหายมีการทำข้อตกลงรับเงินเยียวยาดังกล่าว ศาลอาจดูเป็นเหตุบรรเทาโทษก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ทราบว่าทางผู้เสียหายยืนกรานว่าขอดำเนินคดีจนถึงที่สุด

นายวัชรินทร์ เผยว่า ส่วนหากภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 ราย มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วนั้น จะเป็นสาเหตุให้ต้นสังกัดมีการพิจารณาไล่ออกจากราชการหรือไม่ อันนี้เป็นในส่วนของต้นสังกัดที่จะต้องดูในเรื่องของผิดวินัยร้ายแรงต่อไป

นายวัชรินทร์ กล่าวปิดท้ายว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ทางผู้ต้องหายังมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา รวมถึง อ้างพยานหลักฐานได้ ซึ่งเรารับฟังทั้งหมด แต่ถ้าหากพยานหลักฐานไม่มีความชัดเจนและไม่สามารถใช้เป็นการแก้ข้อกล่าวหาได้ คณะพนักงานสอบสวนจะทำการสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต จากนั้นพนักงานอัยการจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง




กำลังโหลดความคิดเห็น