xs
xsm
sm
md
lg

"ป.ป.ส.-ภาคีวิชาการ" ชี้ผลวิจัยพบผู้ใช้สารเสพติดกว่า 1.9 ล้านคน เสพ "ยาบ้า" มากสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - "บิ๊กหลวง" เผยงานวิจัยคนไทยมีผู้ใช้สารเสพติดกว่า 1.9 ล้านคน พบติด "ยาบ้า" มากที่สุด พร้อมเร่งเดินหน้าบำบัด-ฟื้นฟูสภาพสังคม

วันนี้ (4 มิ.ย.) ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ดินแดง กรุงเทพฯ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานเปิดการนำเสนองานวิจัยประมาณการจำนวนประชากรผู้ใช้สารเสพติดของประเทศไทย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจากทุกหน่วยงาน ทราบถึงปัญหาและสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ ไปต่อยอดต่อการปฏิบัติในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอภิปรายโดย รศ.ดร.มานพ คณะโต ประธานคณะกรรมการบริหารเครือข่ายองค์กรวิชาการสารเสพติด/ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการเสพติด มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล และ รศ.พ.ต.ต.หญิง ดร.พูนรัตน์ ลียติกุล คณะกรรมการบริหารเครือข่าย องค์กรวิชาการสารเสพติด/รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ คณะกรรมการบริหารเครือข่ายองค์กรวิชาการสารเสพติด ทำการศึกษาวิจัยสำรวจครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อคาดประมาณจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดในประเทศไทย พ.ศ. 2567 รวมถึงความชุกของผู้ใช้สารเสพติด จำแนกตามชนิดยาหรือสารเสพติด รูปแบบ และลักษณะการใช้สารเสพติดของประชากรในประเทศไทย จากผลการสำรวจ พบว่าประชากรไทย อายุระหว่าง 12–65 ปี ในรอบปีที่ผ่านมา มีประชากรประมาณ 3.8 ล้านคน ใช้กระท่อมประมาณ 1.9 ล้านคน ใช้สารเสพติด 1.6 ล้านคน ใช้กัญชา 1.5 ล้านคน ใช้ยาบ้า 1.5 ล้านคน ทั้งนี้ ควรเข้ารับการบำบัดรักษาจำนวนประมาณ 330,000 คน มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ประมาณ 220,000 คน

นอกจากนี้ ผลการวิจัย พบว่า ยาบ้าเป็นยาเสพติดที่มีการใช้มากที่สุดและเป็นปัญหายาเสพติดของประเทศไทย ซึ่งต้องยกระดับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน รองลงมา คือ ยาอี เฮโรอีน ไอซ์ เคตามีน ฝิ่น โคเคน และสารระเหย ตามลำดับ สำหรับในรอบปีที่ผ่านมามีผู้ใช้สารผสม จำนวน 21,000 ราย ซึ่งสะท้อนถึง กลุ่มประชากรย่อยที่มีความเสี่ยงสูงกลุ่มใหม่ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการบำบัดรักษา ที่เฉพาะเจาะจง เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวอาจมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่รุนแรง และมีความยากลำบากในการจัดการกับผลกระทบจากสารเสพติดหลายชนิดที่ทำปฏิกิริยาต่อกัน

ทั้งนี้ ในปี 2568 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานภาคีอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (ศปก.ครส.) ทั่วประเทศ พร้อมประชุมกำกับติดตามงานกับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าหน่วยงานระดับจังหวัด 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการทำงานและการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิผล รวมถึงบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างทันท่วงที


ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ยังระบุถึงกรณีที่กลุ่มว้าแดงได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แหล่งผลิตยาเสพติดตามที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวอ้าง โดยยืนยันว่า จากข้อมูลของ ป.ป.ส. พบว่าในรัฐฉานเป็นฐานผลิตยาเสพติด ซึ่งมีทั้งรัฐฉานเหนือและรัฐฉานใต้ โดยในพื้นที่รัฐฉานใต้พบกลุ่มว้าแดง คือ ผู้ควบคุมแหล่งผลิตยาเสพติดในพื้นที่ดังกล่าว การที่รัฐบาลไทยจะควบคุมหรือปราบปรามแหล่งผลิต นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถก้าวล่วงได้ สิ่งที่ทำได้คือการสร้างเทคโนโลยี เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับการลักลอบขนยาเสพติดที่ลำเลียงผ่านเข้ามาตามช่องทางชายแดน ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่ากองทัพบกและกองทัพเรือสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการควบคุมจำนวนผู้เสพในประเทศให้มีจำนวนลดลง

"ส่วนกรณีพบยาแก้ไอซึ่งเป็นสารตั้งต้นการ ผลิตยาเสพติดในพื้นที่ใกล้แหล่งสถานศึกษา ส่วนตัวมองว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่อันตรายเพราะขณะนี้ก็พบมียาเสพติดชนิดใหม่ แพร่ระบาดออกมาเป็นระยะ ซึ่งทางป.ป.ส. ก็มีมาตรการเฝ้าระวัง เพื่อควบคุมสถานการณ์อยู่แล้ว"


กำลังโหลดความคิดเห็น