"ทนายปราบโกง" ร้อง ปปป.เอาผิดเจ้าพนักงานบังคับคดี ร่วมกับญาติพี่น้อง 6 คน รวมหัวนำบ้านที่ตนอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี แอบขายทอดตลาด ยันโดนกลั่นแกล้งให้ออกจากพื้นที่ ซ้ำเอาตำรวจมาจับให้อับอาย
วันนี้ ( 30 พ.ค.) ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทนายกฤษฎา อินทามระ หรือ ทนายปราบโกง เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานบังคับคดี 2 นาย พร้อมญาติพี่น้องของตนเองอีก 3 คน และทนายความอีก 1 คน รวม 6 คน ในข้อหาความผิดตามมาตรา 157 กรณีสมรู้ร่วมคิดและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการขายทอดตลาดบ้านที่ตนครอบครองปรปักษ์มานานกว่า 10 ปี
ทนายกฤษฎา กล่าวว่า เมื่อปลายปี 67 สำนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดบ้านในหมู่บ้านชื่อดังย่านชานเมือง ซึ่งตนครอบครองปรปักษ์อยู่ และเป็นบ้านที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับบ้านของพี่น้องตนอีกประมาณ 3 หลัง โดยไม่มีรั้วกั้น ทำให้ทุกคนในครอบครัวทราบดีว่าตนมีสิทธิในบ้านหลังดังกล่าวในฐานะผู้ครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานบังคับคดี กลับร่วมมือกับญาติพี่น้องของตนเอง นำประกาศขายทอดตลาดไปปิดไว้ที่โรงจอดรถของเขา แทนที่จะปิดที่ตัวบ้านที่ตนครอบครองอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ตนรับทราบเรื่องการขายทอดตลาด และไม่สามารถร้องขัดทรัพย์ได้ทันตามกฎหมาย โดยหลังจากการปิดประกาศที่โรงจอดรถแล้ว ก็มีการถ่ายรูปเพื่อรายงานหัวหน้า ก่อนจะดึงประกาศออกไปในทันที
ทนายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ตนมาทราบเรื่องการขายทอดตลาดจากการตรวจสอบเว็บไซต์ของกรมบังคับคดี และได้เข้าร่วมประมูลในวันนัดแรก คือวันที่ 19 ธ.ค.67 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 2 ราย คือตนและทางฝั่งพี่น้องคู่กรณี โดยทางเขาเป็นผู้ชนะการประมูลไปในราคา 3,500,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่ตนเสนอไปกว่าสี่แสนบาท ทั้งที่บ้านดังกล่าวมีเนื้อที่เพียง 51 ตารางวา สร้างมานานกว่า 30 ปี และอยู่นอกโครงการจัดสรร ไม่มีทางเข้าออกสู่ถนนโครงการ ต้องใช้ทางภาระจำยอมของทำให้ตนเกิดข้อสงสัยว่าคู่กรณีทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อประมูลบ้านหลังนี้ไปเพื่ออะไร
ทนายกฤษฎา กล่าวอีกว่าต่อมาในวันที่ 14 มี.ค. ตนได้ทราบความจริงว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องการกำจัดตนออกจากพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 6 นายนำหมายจับของศาลมาจับกุมตนและภรรยาในข้อหาไม่ยอมออกจากอสังหาริมทรัพย์ โดยในวันดังกล่าว ตำรวจ ฝ่ายคู่กรณีและทนายความ ได้วางแผนปิดทางเข้าออกซึ่งมีเพียงทางเดียวคือต้องผ่านหน้าบ้านเขา ทำให้ตนและภรรยาถูกจับกุม ส่งผลให้เสื่อมเสียอิสรภาพและชื่อเสียง เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่นิติบุคคลของหมู่บ้าน มาดูการจับกุมเพื่อประจานตนและภรรยา อีกทั้งเพื่อนบ้านก็เห็นเหตุการณ์ทำให้ตนเสียชื่อเสียงอย่างมาก ทั้งที่ตนได้ทำงานเพื่อสังคมและประชาชนจนกระทั่งสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า "ทนายปราบโกง" การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ผู้คนเข้าใจว่าตนกระทำความผิดอาญาร้ายแรง เป็นผู้ร้ายคนสำคัญหลบหนีหมายจับ
"เชื่อว่าการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นการสมรู้ร่วมคิดเป็นขบวนการ ตั้งแต่การปิดประกาศขายทอดตลาด การออกหมายจับ ไปจนถึงการเข้าจับกุมที่เกินกว่าเหตุ ทั้งที่เป็นเพียงความผิดทางแพ่งเรื่องการขับไล่เท่านั้น ทั้งนี้การมาแจ้งความ บก.ปปป.ดำเนินคดีในครั้งนี้จึงเป็นการปกป้องชื่อเสียงของผมเอง เพื่อเป็นคดีตัวอย่าง ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต" ทนายปราบโกงกล่าว
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้ พร้อมทั้งตรวจสอบพยานหลักฐานที่นำมามอบให้ ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป