วันนี้ (29 พ.ค.) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลได้วางนโยบายเร่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศเกิดฟื้นตัวและสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพชีวิต หนึ่งในนโยบายที่สำคัญ คือการสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียน ในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ตามกำหนดในปี ค.ศ. 2050
พร้อมกับการสร้างการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจากกฎกติกาสากลและคู่ค้าสำคัญของไทยที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้น และครอบคลุมในหลายสาขาอุตสาหกรรม จึงเป็นความท้ายทายของภาคอุตสาหกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจสีเขียว นำมาสู่ความต้องการนำเข้าสินค้าคาร์บอนต่ำ และเป็นกติกาทางการค้าที่อุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัว จะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถด้านการกระจายสินค้าในงานโลจิสติกส์ และขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก
ด้วยความสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การผลิตอย่างยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำดังกล่าว จึงได้มอบนโยบาย “การขับเคลื่อนปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” และเน้นย้ำให้กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งส่งเสริมและกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ไปพร้อมๆ กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนครอบคลุมการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ ตลอดจนต้องการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้ นางคนึงนิจ ทยายุทธ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 6 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคนิคการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ภายใต้โครงการการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
ผู้เข้าร่วมโครงการมาจากภาคการผลิต และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ครอบคลุมพื้นที่นครชัยบุรินทร์ ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 25 ราย และคัดเลือกสถานประกอบการที่มีความมุ่งมั่น ในการการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ด้วยการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการการบริหารจัดการโลจิสติกส์ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 15 ราย
ทุกรายสามารถร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Logistics Performance Index : ILPI) การประเมินศักยภาพด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (Logistics Scorecard: LSC) ต้นทุนโลจิสติกส์ (Logistics Cost) และรายงานการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ทั้งก่อน และหลัง เข้าร่วมกิจกรรม การดำเนินโครงการสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 711 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 8,200 ตันคาร์บอนต่อปี.