"สุชาติ ชมกลิ่น" ขึ้นเบิกความไต่สวนคดีฟ้อง'ไอซ์ -รัชนก"หมิ่นประมาท ปมประกันสังคมซื้อตึก 7 พันล้าน โอดกล่าวหาจนเสื่อมเสียถึงครอบครัว เมินเจรจาไกล่เกลี่ย
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (26 พ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) และนายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.ชลบุรี ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่มีการพาดพิงถึงสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เข้าซื้ออาคาร Skyy9 ในสมัยที่นายสุชาติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในราคา 7,000 ล้านบาท
นายสุชาติให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเบิกความ ว่า ตนมีนัดไต่สวนมูลฟ้องคดียื่นฟ้องหมิ่นประมาท น.ส.รักชนก และนายสหัสวัต สส.ชลบุรี กรณีเมื่อช่วงเดือน มี.ค.2568 ทั้งคู่ได้กล่าวหาตนว่าเกี่ยวข้องกับกรณีที่สำนักงานประกันสังคมเข้าซื้ออาคาร Skyy9 ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่ทั้งคู่กล่าวหาตน ในวันนี้จึงเดินทางเข้ามาเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเองโดยการพึ่งพากระบวนการยุติธรรม ซึ่งการที่ทั้งคู่มีตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น การตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ มีช่องทางการตรวจสอบ โดยการไปยื่นกับสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ แต่การที่มากล่าวหาตนทางสื่อโซเชียลนั้นจนลามมาถึงครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตนเลยต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไปว่าการจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะต้องมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ไม่ใช่มากล่าวหาตนลอยๆ จนเสื่อมเสียชื่อเสียง
นายสุชาติ กล่าวว่า คู่กรณีของตนทั้งสองนั้นมองว่าการฟ้องศาลเสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนของตนนั้นเสียหายหนักกว่ามาก เสียทั้งเกียรติ ชื่อเสียง และศักดิ์ศรี และในวันนี้การที่ตนเข้ามาเบิกความด้วยตนเองนั้นก็เป็นเพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บนความเป็นจริงที่ตนรู้อยู่แก่ใจมาโดยตลอด ซึ่งการที่สำนักงานประกันสังคมเข้าไปซื้ออาคารดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องของพ.ร.บ. การลงทุนประกันสังคม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเลยซึ่งเป็นผู้ที่สามารถออกนโยบายต่าง ๆ ได้ แต่ไม่สามารถเข้าก้าวก่ายกับเรื่องนี้
นายสุชาติกล่าวอีกว่า สิ่งที่ทั้งคู่กล่าวหาตนมานั้นจะต้องพิสูจน์กันด้วยเอกสารต่าง ๆ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในวันนี้ตนจึงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมเพื่อเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของตนที่เสียไปกลับคืนมา นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเดินทางมายังศาลด้วยตัวเองเพราะชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาจนเป็นรัฐมนตรียังไม่เคยยื่นฟ้องใครแม้แต่ครั้งเดียว แต่ที่ฟ้องทั้งคู่นั้นเพราะการกระทำขอทั้งคู่เกินขอบเขตเกินไป จนเสื่อมเสียมาถึงครอบครัวของตน และที่ทั้งคู่บอกว่าการขึ้นศาลเป็นการทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ ตนจึงอยากถามกลับไปยังทั้งคู่ว่าแล้วสิ่งที่ทั้งคู่กล่าวหาตนจนเสื่อมเสียมาถึงครอบครัว และชื่อเสียงต่าง ๆ มันหนักว่าที่ทั้งคู่เจอไหม
เมื่อถามว่าจะมีการเรียกค่าเสียหายจากทั้งคู่ใช่หรือไหม
นายสุชาติกล่าวว่า เรื่องค่าเสียหายนั้นเป็นเรื่องของบรรทัดฐานในการฟ้องร้องอยู่แล้ว แต่จริง ๆ ตนไม่ได้มองตรงส่วนนั้นเป็นหลัก แต่มองผลลัพธ์จากสิ่งที่ทั้งคู่ทำจะต้องให้ศาลพิสูจน์หลักฐานต่าง ๆ ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้อีก จะเห็นได้จากการกระทำของน.ส.รักชนกว่ามีการกล่าวหาตนเองไปทั่ว ซึ่งตนมองว่านิสัยของเจ้าตัวนั้นไม่สามารถแก้ได้แล้ว และเรื่องต้องจบที่ชั้นศาล และในส่วนที่หลายฝ่ายถามตนว่าจะมีการไกล่เกลี่ยกับทั้งคู่ไหม ตนบอกเลยว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยแน่นอน เพราะพฤติกรรมของทั้งคู่เกินเยียวยาแล้ว และตนอยากให้สังคมเห็นถึงพฤติกรรมของน.ส.รักชนกว่าไปกล่าวหาคนอื่นจนให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างไร และตนอยากฝากไปว่าต่อให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นสามารถทำการตรวจสอบต่างๆ ได้แต่ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และไม่ใช่เป็นการกล่าวหาทางโซเชียลลอยๆ โดยที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกฝ่ายเดียว
เมื่อถามว่า การฟ้องครั้งนี้เป็นการฟ้องเพื่อปิดปากหรือไม่
นายสุชาติ กล่าวว่า จะเป็นการฟ้องเพื่อปิดปากได้อย่างไร ตนอยากถามกลับไปว่าในวันนี้ถ้าตนไม่พึ่งพากระบวนการยุติธรรมจะเกิดอะไรขึ้นกับชื่อเสียงตนต่อไป และตนไม่ได้เชือดไก่ให้ลิงดูอย่างแน่นอน แต่ตนมาพึ่งกระบวนการยุติธรรมในครั้งนี้เพราะต้องการให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นผู้ที่ทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ภายหลังเบิกความไต่สวนเสร็จแล้ว นายสุชาติให้สัมภาษณ์ว่า การไต่สวนทีมทนายความของตนมาพร้อม แต่ทนายความฝ่ายจำเลยอย่าง น.ส.รักชนก และนายสหัสวัต มีทนายความมาแค่คนเดียว เนื่องจากติดว่าความคดีที่ศาลอื่น ทำให้ฝ่ายจำเลยขอเลื่อนการไต่สวน วันนี้ตนจึงขึ้นเบิกความในฝ่ายตนเพียงฝ่ายเดียวเนื่องจากว่าเตรียมหลักฐานต่างๆ มาพร้อมแล้ว และครั้งหน้าก็เป็นการซักค้านของทนายความจำเลยตามที่ตนเบิกความไว้
นายสุชาติกล่าวอีกว่า ผู้พิพากษาได้สอบถามว่ามีความประสงค์ที่จะไกล่เกลี่ยหรือไม่ แต่ตนก็ยืนยันว่า ขออนุญาตไม่ไกล่เกลี่ยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตนมองว่าในส่วนของประชาชนที่ได้รับข้อมูลผิด ๆ มานั้นตนสามารถให้อภัยได้และมีประชาชนบางส่วนติดต่อมาขอโทษกับตนแล้ว แต่ในกรณีของทั้งน.ส.รักชนก และ นายสหัสวัต ตนยังยืนยันเช่นเดิมว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอน เพราะพฤติกรรมทั้งคู่เกินเยียวยาแล้ว ถ้าอยากจะตรวจสอบตนมองว่าไปยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นตนจึงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ต่อไป และการกล่าวหาตนจนเสื่อมเสียชื่อเสียงแบบนี้ถ้าในช่วงแรกยังมองว่าพอที่จะไกล่เกลี่ยกันได้ แต่นี่ไปกล่าวว่าร้ายตนสนุกปากทั้งการออกสื่อหลายช่อง ตนจึงไม่สามารถยอมความได้
เมื่อถามว่ากระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี เป็นอย่างไรบ้าง นายสุชาติ กล่าวว่า ตนฟังเรื่องนี้ผ่านทางสื่อมวลชน แต่จริง ๆ เรื่องนี้อำนาจการปรับคณะรัฐมนตรีอยู่ที่ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการจัดการตรงนี้ การที่จะมาเป็นรัฐมนตรีหรือคนที่ไม่ได้เป็นนั้นไม่สามารถขึ้นอยู่กับตนเอง แต่ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และการตั้งคณะรัฐมนตรีนั้นนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เลือกเท่านั้น และตนก็ทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่ ซึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตนก็ได้ลงพื้นที่ไปกับนายกรัฐมนตรีเพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนชาวสวนทุเรียนจ.จันทบุรี และสามารถแก้ปัญหาหลายเรื่องได้สำเร็จ ทั้งปัญหาผู้รับซื้อทุเรียน และตนยังไม่สามารถไปคิดแทนได้ว่าสมควรที่จะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากตนไม่มีอำนาจในส่วนนี้
เมื่อถามว่ากระแสข่าวอาจจะย้ายพรรคหรือตั้งพรรคใหม่เป็นอย่างไรบ้าง
นายสุชาติกล่าวว่า เรื่องนี้ตนก็ได้ยินจากสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาลที่มาถามตนเหมือนกันว่าการเมืองมีหลายกลุ่มหลายพรรคมาชวนเราไปทำงานด้วยบ้าง ตนก็ต้องบอกว่าการเป็นนักการเมืองมีระยะเวลาในกรอบ 4 ปี เมื่อถึงครึ่งทางทุกคนก็ต้องมองว่าประเมินว่าสถานที่ที่อยู่นั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าเราจะไปตรงนี้ต่อหรือจะไปตรงที่มีอุดมการณ์ตรงกันมากกว่า และต้องยอมรับว่าเป็นความคิดของกลุ่มคนหลายคน ตนไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว จึงต้องหารือกันและปรึกษา ซึ่งในวันนี้ตนยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ตนจึงไม่สามารถพูดให้ไปกระทบพรรคได้
เมื่อถามว่าถ้ามีการย้ายพรรคจริงจะมีผลต่อตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
นายสุชาติ กล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีผลต่อตำแหน่งทางการเมืองอยู่แล้วถ้ามีการย้ายพรรคเกิดขึ้น เพราะตนเป็นรัฐมนตรีในส่วนโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าเกิดย้ายจริง ตนก็หลุดจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย เรื่องที่ตนจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปจะต้องงดูความชัดเจนของหัวหน้าพรรคตนด้วย ส่วนพรรคที่กำลังเนื้อหอมอยู่ในตอนนี้จะเป็นพรรคใหม่ของตนหรือไม่นั้น ต้องบอกก่อนว่าไม่ ตนรู้จักและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคนั้นจริงแต่ไม่ไปอยู่ด้วยกัน เนื่องจากการทำหน้าที่การเมืองของตนกับพรรคนั้นอาจจะไม่ส่งผลดีกับตนในพื้นที่ แต่ถ้าอุดมการณ์ในการทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนไปด้วยกันได้ก็อาจจะสามารถประสานแนวทางการเมืองไปด้วยกันได้