ครอบครัวเข้าร้องขอความช่วยเหลือทีมงานเพจสายไหมต้องรอด กรณีหนุ่มวัย 31 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะเข้าตรวจค้นนำผู้เกี่ยวข้องยาเสพติดไปบำบัด
วันนี้ (24 พ.ย.) นายกิตติพงษ์ อายุ 30 ปี พร้อมด้วย น.ส.ศมน อายุ 21 ปี น้องชายและน้องสาวของ นายกิตติ อายุ 31 ปี (ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส) ร่วมกันเดินทางเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ภายหลังจากที่นายกิตติ ถูกเจ้าหน้าที่กรมการปกครองพื้นที่อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ใช้อาวุธปืนยิง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะเข้าตรวจค้นกวาดล้างนำตัวผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด นำตัวผู้เสพไปบำบัดยาเสพติด หลังจากผ่านมา 2 เดือน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางประไพ อายุ 57 ปี มารดาของนายกิตติ (ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส) เปิดเผยผ่านวิดีโอคอลว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ครอบครัวอยู่ภายในบ้านพัก พร้อมด้วยนายกิตติ (บุตรชาย) ที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้านใกล้เคียงกัน ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองประมาณ 10 นาย พร้อมรถกระบะ 2 คัน มาจอดบริเวณหน้าบ้าน ก่อนจะวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อม พร้อมขอให้ลูกชายหยุดและอย่าวิ่ง แต่ลูกชายเกิดความกลัว เนื่องจากเป็นผู้เสพยาเสพติด แม้เข้ารับบำบัดหลายครั้งแต่ก็ไม่หายขาด เพราะเมื่อกลับมาสู่ชุมชน ก็มักมีผู้ค้าหน้าเดิมมายุ่งและข้องเกี่ยวกับลูกชาย ซื้อขายยาเสพติด (ยาบ้า) ให้เม็ดละ 20 บาท ทำให้ลูกชายไม่หลุดจากวงจรดังกล่าว
นางประไพ กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุ ลูกชายไม่ได้ใช้ยาบ้า เพียงแค่นอนใต้ถุนบ้าน แต่พอเห็นเจ้าหน้าที่กรูวิ่งเข้ามาจึงตกใจกลัว ไม่ได้อยากติดคุก และไม่อยากเข้ารับการบำบัด จึงได้วิ่งหนีออกไปทางหลังบ้าน ตนเห็นเช่นนั้นจึงตะโกนพยายามสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่ฟัง และยังคงวิ่งไล่ติดตามตัวลูกชาย โดยมีผู้ใหญ่บ้านที่มากับชุดเจ้าหน้าที่ร่วมวิ่งไล่ติดตามด้วย ตนเองจึงวิ่งตามหลังลูกชายและเจ้าหน้าที่ กระทั่งได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัดติดต่อกัน และเห็นลูกชายล้มลงกับพื้น ตนจึงวิ่งเข้าไปหาลูกชาย และรู้ทันทีว่าลูกชายถูกยิงจากด้านหลังทะลุหน้าท้อง มีเลือดออก
แต่ขณะนั้นผู้ใหญ่บ้านกลับพยายามใส่กุญแจมือลูกชาย ตนจึงได้ท้วงติงว่าลูกชายถูกยิง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงพยายามควบคุมตัวลูกชาย พร้อมอ้างว่าลูกชายล้มลงและโดนตอไม้เอง จากนั้นเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวลูกชายขึ้นรถกระบะนำส่ง รพ.นาดี จังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาแพทย์ระบุว่าลูกชายถูกอาวุธปืนยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี แทน และปัจจุบันนี้ยังนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล จนถึงขณะนี้แพทย์ได้แนะนำให้ทางครอบครัวนิมนต์พระมาที่โรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถยื้อชีวิตลูกชายได้แล้ว ทำให้ตนไม่สามารถเดินทางมาชี้แจงกับสื่อมวลชนได้ในวันนี้ เพราะต้องเฝ้าลูกชายจนวาระสุดท้าย
นางประไพ เปิดเผยอีกว่า ส่วนความคืบหน้าทางคดี หลังเกิดเหตุ ทางครอบครัวได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.นาดี ซึ่งทางผู้ก่อเหตุก็ได้เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ทางครอบครัวยังไม่เคยได้พบกับคู่กรณีแต่อย่างใด มีเพียงพบแต่พ่อและแม่ของผู้ก่อเหตุ และผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุมาติดต่อสอบถามอาการลูกชายเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนทราบว่าผู้ก่อเหตุ เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และพ่อของเขาก็เป็นผู้ใหญ่บ้านอีกแห่งหนึ่ง (คนละอำเภอกับที่เกิดเหตุ) ทั้งนี้ ตนอยากวอนให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนด้วย เพราะที่ผ่านมาได้เดินทางร้องเรียนหลายพื้นที่ หลายหน่วยงานแล้ว ตนหวั่นว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเรื่องทางคดี เรื่องเงินชดเชยเยียวยา ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
ด้าน นายกิตติพงษ์ อายุ 31 ปี ลูกพี่ลูกน้องของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางครอบครัวได้ติดตามความคืบหน้ามาตลอด และได้มีการพูดคุยกับนายอำเภอนาดี ในฐานะผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเจ้าตัวได้เข้ามาพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะจ่ายเยียวยา แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เพียงแต่ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ในส่วนของผู้ก่อเหตุ อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งจนถึงขณะนี้เวลาล่วงเลยมา 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ อีกทั้งผู้ก่อเหตุยังคงทำหน้าที่ปกติ ไม่ได้ถูกให้ออกจากราชการ ทำให้ตนรู้สึกกังวลใจ และทราบว่าปืนที่ใช้ในการก่อเหตุยิงพี่ชายนั้น เป็นปืนของพ่อผู้ก่อเหตุ ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านของอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งทางครอบครัวกังวลว่า คดีนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐฯ เข้าไปปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุกับพี่ชายของตนเอง จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
ขณะที่ นายเอกภพ เปิดเผยว่า จากการดูหลักฐานเบื้องต้น ทราบว่าผู้เสียหายถูกยิงที่บริเวณด้านหลัง ตนเองรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทั้งชุดปฏิบัติงาน เพราะโอกาสที่จะรอดจากการกระทำความผิดค่อนข้างยาก เนื่องจากมีหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์ที่ระบุชัดเจน ส่วนผู้ก่อเหตุได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.นาดี เรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนการทำงานของฝ่ายปกครองนั้น ตนเองมองว่าควรจะมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงาน เพราะไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การปราบปรามยาเสพติดควรมุ่งเน้นปราบปรามผู้ค้า ส่วนการบำบัดรักษา ควรมีมาตรการหรือแนวทางให้ชัดเจน และต่อเนื่อง อีกทั้งยังทราบว่าในพื้นที่อำเภอนาดี ผู้ค้า พยายามที่จะเข้ามาติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้กับผู้บาดเจ็บในราคาเพียงแค่เม็ดละ 20 บาท หรือหากไม่มีเงินก็สามารถให้เครดิตไว้ก่อนได้ ตนเองจึงอยากให้เจ้าหน้าที่เข้าไปหาข้อมูลกับทางครอบครัวของผู้บาดเจ็บ