ตร.แถลงรวบ 4 สมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนใช้วีซ่าท่องเที่ยวเปิดบัญชีในไทย ถอนเงินก้อนใหญ่หลบหนีออกนอกประเทศในไม่กี่วัน พบ พนักงานธนาคารเอี่ยว ช่วยจัดทำเอกสารเท็จ จึงขอหมายศาลเข้าจับกุมได้ 3 ราย เผยความเสียหายทะลุพันล้านบาท เตรียมยกระดับคุมเข้มมาตรการธนาคาร
วันนี้ (21 พ.ค.) เมื่อเวลาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตํารวจนครบาล พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตํารวจนครบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ให้การสนับสนุนขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในการกระทำผิดและสามารถขยายผลเชื่อมโยงไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นอีกหลายราย
พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า จากมาตรการเข้มงวดในการเปิดบัญชีม้า รวมทั้งการซีลชายแดนอย่างเข้มงวดทำให้กลุ่มแก๊งคนร้ายต่างชาติ เริ่มหันมาเปิดบัญชีม้าด้วยตนเองโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว แล้วถอนเงินสดออกไปผ่านการกดเงินตู้ ATM เพื่อนำเงินที่หลอกคนไทยได้กลับไปยังประเทศของตนเอง โดยพบว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามามีส่วนร่วมในการทำเอกสารเท็จให้กับกลุ่มคนร้ายต่างชาติดังกล่าว
โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปอส.บช.น.) ได้สืบสวนทราบว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนตระเวนกดเงินสดจากตู้ และถอนเงินสดจำนวนมากที่เคาน์เตอร์ธนาคาร กระทั่งประมาณกลางเดือนมีนาคม พบว่ามีชาวจีนเปิดบัญชีธนาคาร จำนวน 15 บัญชี เมื่อเปิดบัญชีธนาคารแล้ว จะตระเวนกดเงินสดจากตู้ และถอนเงินสดจำนวนมากที่เคาน์เตอร์ธนาคารภายใน 1–2 วัน แล้วเดินทางออกนอกประเทศทันที จากการรวบรวมพบว่ามีเงินที่ถูกถอนทั้งสิ้น 91 ล้านบาท
จากการสืบสวนพบว่าเจ้าของบัญชีธนาคารชาวจีนทั้ง 15 ราย จะเดินทางเข้ามาในประเทศ โดยมีกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทยคอยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มชาวจีน อาทิ ซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ เปิดบัญชีธนาคาร เมื่อเปิดบัญชีแล้วจะมีเงินถูกโอนเข้ามาให้กับบัญชีธนาคารทั้ง 15 บัญชี รวมเงินประมาณ 118 ล้านบาท จากการตรวจสอบระบบแจ้งความออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าบัญชีธนาคารชาวจีนทั้ง 15 บัญชี มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว จำนวน 106 คดี แล้วยังพบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องนำไปใช้หลอกลวงอีก 462 บัญชี จากการตรวจสอบพบว่าบัญชีที่มีการแจ้งความแล้วจำนวน 2,084 คดี มูลค่าความเสียหายทั้งหมด 2,200 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ศปอส.บช.น. ได้การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่คอยจัดการ และอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนร้ายชาวจีนที่มาเปิดบัญชีและถอนเงินออกไปจำนวน 4 ราย
1. MR. YANG (นายหยาง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2696/2568 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.บึงกุ่ม) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้า
2. MR. XIE (นายเซี่ย) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2695/2568 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.บึงกุ่ม) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้า
3. MR. HANG (นายฮาง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนงที่ 279/2568 ลงวันที่ 23 เม.ย. 68 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.ประเวศ) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มควบคุมการถอนเงิน
4. MR. WU (นายหวู) ถูกดำเนินคดีในข้อหา “เป็นธุระจัดหา เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” นำส่งพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มควบคุมการถอนเงิน
นอกจากนั้นขยายผลพบว่าในการเปิดบัญชีธนาคารของกลุ่มชาวจีนที่ธนาคารแห่งหนึ่งในอ.บางละมุง จ.ชลบุรี มีกลุ่มเอเจนซี่และกลุ่มพนักงานธนาคารมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนดังกล่าว จึงได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับกลุ่มเอเจนซี่และกลุ่มพนักงานธนาคารต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง ซึ่งทาง ศปอส.ภ.2. โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง รวม 5 ราย ดังนี้
1. น.ส.สิริลักษณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
2. น.ส.ชุติมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ,ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
3. นายทรงพล ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ,ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
4. น.ส.มนธิดา ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นล่าม
5. นายณรงค์ฤทธิ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาญชากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นล่าม
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เริ่มปรับตัวใช้วีซ่าท่องเที่ยวมาเปิดบัญชีด้วยตนเอง โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารกลุ่มหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ทาง ศปอส.ตร. จะได้มีการขยายผลในคดี จับกุม ยึดทรัพย์ กลุ่มคนร้ายที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด ซึ่งยังมีบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมากมูลค่าความเสียหายเป็นหลักพันล้านบาท และในคดีนี้พบช่องว่างของการทำงานของธนาคาร ซึ่งจะต้องมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบมากขึ้นต่อไป