"ต้นอ้อ" พาสองผัวเมียร้องกองปราบถูกสวมชื่อไปทำประกันชีวิตในวงเงิน 120 ล้าน ยันไม่เคยทำประกันเพื่อใช้ค้ำเงินกู้ให้คู่กรณีแต่อย่างใด
วันนี้ (9 พ.ค.) ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นางชลิดา พะละมาตย์ หรือ "ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง" พา น.ส.พัชรวรินทร์ หรืออุ๊ และ นายธนาญวัฒณ์ หรือโต้ง สองสามีภรรยา เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่นำชื่อไปสวมสิทธิ์ทำประกันชีวิตวงเงิน 120 ล้านบาท
ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายมาแจ้งความที่กองปราบ เพราะเริ่มแรกผู้เสียหายพยายามแจ้งความ แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดและมีหลายท้องที่ได้ทำกับบริษัทประกันส่วนจะแจ้งความดำเนินคดีใครบ้างผู้เสียหายจะแจ้งกับทางตำรวจ เบื้องต้นทราบว่ามี 2-3 ราย ส่วนกรมธรรม์อื่น ๆ ที่มีทั้งลายเซ็นและตัวแทนประกันก็จะมีเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งจะต้องรอเอกสารจาก คปภ. เพื่อแจ้งความเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ผู้เสียหายได้แจ้งความลงบันทึกที่จังหวัดศรีสะเกษเกี่ยวกับบริษัทประกันไว้โดยยืนยันว่าตัวเองไม่เคยไปทำประกันมาก่อน ส่วนข้อกล่าวหาที่จะแจ้งในวันนี้ให้ทางตำรวจเป็นผู้ประเมินว่าสิ่งต่าง ๆ จะเข้าข่ายความผิดข้อหาใดบ้าง เบื้องต้นอาจเข้าข่ายผิดปลอมและใช้เอกสารปลอม
ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง กล่าวต่อว่าในส่วนข้อหาพยามฆ่าในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษตำรวจได้เรียกเข้าไปสอบปากคำหลังจากที่ตัวเองได้โพสต์เรื่องนี้ในเฟซบุ๊กว่าผู้เสียหายอาจถูกปองร้ายหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าทางอีกฝ่ายพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ถึงแม้ผู้เสียหายจะเคยเป็นผู้กระทำความผิดมาก่อนแต่ไม่ใช่จะต้องผิดตลอดไปทุกคนมีโอกาสที่จะปรับปรุงตัวได้และผู้ถูกกระทำก็ควรมีสิทธิ์ในการที่จะปกป้องตัวเอง และผู้เสียหายไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันแต่ละปีต้องจ่ายเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ด้าน น.ส.พัชรวรินทร์ กล่าวว่า ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นใครที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ แต่เมื่อได้เอกสารมาจึงทราบว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ วันนี้จึงมาแจ้งความเอาผิดผู้รับผลประโยชน์โดยตัวแทนบางท่านเป็นญาติกับตัวเองและเคยมีคดีความกันมาก่อน ยืนยันว่าตัวเองและสามีไม่ได้ทำประกันชีวิตกับตัวแทนคนไหนมาก่อน ส่วนกระบวนการของการทำประกันชีวิตผู้เอาประกันจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ฉะนั้นลายเซ็นใบคำขอที่ประสงค์เอาประกันภัย สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นลายเซ็นของตัวเองหรือไม่
น.ส.พัชรวรินทร์ กล่าวต่อว่าทั้งนี้ไทม์ไลน์ก่อนหน้านี้ได้ฝากเอกสารไว้กับทนายความระหว่างศาลอ่านคำพิพากษาจึงไม่ได้นำเอกสารใดเข้าไปด้วย และทราบว่าทนายความรู้จักกับ นางวัชรี นอกจากนี้ยังพบว่า การทำประกันภัยมีการนำบัตรประชาชนอันเก่าของตัวเองไปทำประกันภัย โดยหลังจากที่ตัวเองออกมาจากเรือนจำได้ทำบัตรประชาชนอันใหม่แล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีการใช้บัตรประชาชนใบเก่าไปทำกรมธรรม์ พร้อมยอมรับว่ารู้จักกับตัวแทนตัวแทนบริษัทประกันภัยเพียงคนเดียวที่เป็นญาติยืนยันว่าหลังจากพ้นโทษตัวเองไม่ได้มีการทำประกันภัย
น.ส.พัชรวรินทร์ กล่าวอีกว่าส่วนกรณีล่าสุดที่อีกฝั่งให้สัมภาษณ์ว่าตัวผู้เสียหายมีกรมธรรม์เพียง 2-3 กรมธรรม์ แต่ความจริงของตัวเองมี 8 กรมธรรม์ ส่วนของสามีมีกว่า 10 กรมธรรม์ โดยเขายอมรับว่าเป็นคนทำกรมธรรม์เพื่อให้ครอบคลุมกับยอดหนี้ที่ได้เป็นหนี้อีกฝั่งไว้ ซึ่งล่าสุดมีการฟ้องร้องยอดหนี้จำนวน 50 ล้านบาท แต่พบมีการทำกรมธรรม์ของผู้เสียหายทั้งสองคนจำนวน 46 ฉบับ วงเงิน 120 ล้านบาท ส่วนเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2565 สามีได้ประสบอุบัติเหตุ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำให้มีความเคลือบแคลงใจสงสัยว่ามีการถูกประทุษร้ายหรือถูกลอบฆ่าเพื่อหวังเอาเงินประกัน และเชื่อว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง
น.ส.พัชรวรินทร์ ยังฝากถึงบริษัทประกันภัยว่าตัวเองและสามียืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีเจตนาจะทำประกันชีวิต อยู่ดี ๆ กลับมีเซอร์ไพรส์การทำประกันชีวิตเบื้องต้นพบมี 46 กรมธรรม์วงเงินคุ้มครอง 120 ล้านบาท จึงอยากให้มีการคัดกรอง ขั้นตอนการตรวจสอบการทำประกันให้มีความเข้มงวด และให้ตรวจสอบอัตลักษณ์เบื้องต้น หลังจากที่ตัวเองพ้นโทษมาแล้วมีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เคยมีอยู่หนึ่งครั้งเคยติดต่อให้ตัวเองถ่ายรูปคู่กับประชาชนโดยอ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือในการทำประกันสุขภาพให้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์เบิกได้ เพราะขณะนั้นตัวเองกำลังตั้งท้องอยู่ จึงปักใจเชื่อเพราะตอนนั้นลำบากจึงยินดีส่งรูปคู่กับบัตรประชาชนไปให้นางวัชรีในไลน์ จึงไปสอบถามว่าการทำประกันสังคมมีขั้นตอนแบบนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือไม่มี แต่ข้อสงสัยมาตลอดว่านำไปทำอะไรแต่ก็ไม่ได้สอบถามหรือทวงติง เพราะด้วยรายได้ในตอนนั้นยืนยันตัวเองไม่มีรายได้เพียงพอที่จะสามารถทำประกันเองได้
ส่วน นายธนาญวัฒณ์ ยืนยันไม่ได้มีการจดบริษัท เมื่อมีข้อสงสัยจึงไปสืบค้นที่จังหวัดว่าตัวเองมีชื่อในกรรมการบริษัท ยืนยันไม่เคยเซ็นสัญญาทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ด้วยลายมือชื่อ ไม่มีการตกลงเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ และไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันว่าตัวเองจะเป็นหุ้นส่วน และหากมีลายเซ็นของตัวเองลายเซ็นนั้นจะต้องเป็นลายเซ็นปลอม
ส่วนกรณีที่มีการทำประกันกับตัวแทนบริษัทประกันแห่งหนึ่งยืนยันว่ามีการพบเห็นตัวเองนั้น นายธนาญวัฒณ์ บอกว่า กรณีนั้นน่าจะมีคนสวมรอยเป็นตัวเอง ฝั่งตัวแทนประกันยืนยันว่าพบเห็นผู้ชายแต่ไม่เห็นชัดเห็น และเดินเข้าไปในบ้าน และจ่ายเงินสด ทั้งนี้ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นั่นโดยมีพยานบุคคลยืนยันได้ในวันนั้นตัวเองอยู่บ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนที่มาที่ไปของบัญชีธนาคารกรุงไทย บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีฝากไว้กับ นางวัชรีเพื่อจะให้นางวัชรีไปนำเงินจำนวน 200,000 บาท ออกมาเพื่อเป็นการใช้หนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการคืนสมุดบัญชีและเอทีเอ็ม และยืนยันว่าตัวเองมีภรรยาเพียงคนเดียวคือ น.ส.พัชรวรินทร์ และมีลูกสองคน
นายธนาญวัฒณ์ เล่าต่อว่า นางวัชรีเป็นส่วนกลางในการติดต่อคุณบอยให้ตัวเองรู้จัก เพื่อให้คุณบอยมาดูพื้นที่บ้านเพื่อทำธุรกิจจำนำรถและนำรถที่รับจำนำไปจอดไว้ โดยให้ตัวเองเป็นคนดูแลสถานที่จอดและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยนางวัชรีนำเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้บอยและเบอร์ของบอยให้ตัวเอง และได้มีการนัดหมายที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขณะรับประทานอาหารมีการถ่ายภาพ ก่อนจะถูกรถชนจังหวะสุดท้ายเห็นเพียงแค่แสงแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนคดีนั้นขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ได้มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ทั้งนี้ขอถามกลับไปถ้าตัวเองจะต้องเสียชีวิตจะยกเงินให้คนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือไม่ ทั้งนี้ขอยืนยันไม่มีการพูดคุยตกลงในส่วนที่เป็นหนี้กันว่าจะมีการทำประกันเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ เขาทำโดยพละการด้วยตัวเอง ตามที่เขากล่าวอ้างว่าเราเป็นหนี้เขาจำนวน 50 ล้านบาท
น.ส.พัชรวรินทร์ กล่าวเสริมอีกว่า ลูกหนี้คดีแรกที่โดนฟ้องจะมาเป็นพยานให้ โดยคดีที่โดนฟ้องได้ไปตกลงยอมรับสภาพหนี้ ส่วนหนี้ 50 ล้านบาทจริงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่จริงในคำฟ้องที่ฟ้องมาปล่อยเงินกู้ให้มากถึง 50 ล้านบาทและไม่มีการชำระเงินเลย ยอดหนี้ที่ตัวเองเป็นหนี้จริง ๆ ประมาณ 10 ล้านบาท การให้เงินส่วนใหญ่เป็นการโอนเงินให้และเขียนเช็คให้ ได้ผ่อนชำระโอนคืนมีสเตทเม้นท์ยืนยันจำนวน 8 ล้านบาท ส่วนจุดแตกหักกับอีกฝั่งเพราะไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ตกลงไม่สามารถชำระต้นและชำระดอกตามที่ตกลงไว้ได้
ส่วนกรณีคุณแตงพยายามจบชีวิตตัวเอง น.ส.พัชรวรินทร์ บอกว่า ตัวเองและคุณแตงเป็นหนี้กันยอดประมาณ 5 ล้านบาท ช่วงเวลาที่เขาอ้างยืนยันว่าตัวเองยังอยู่ในเรือนจำ ไม่ทราบเรื่อง แต่มาทราบจากอีกฝ่ายบอกว่ามีคนจะผูกคอตาย ทั้งนี้อีกฝั่งเขาอ้างว่าทำธุรกิจกับคุณแตงโดยมีการเคลียร์ยอดหนี้กันไปแล้วจำนวน 6 ล้านบาท
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องพร้อมสอบปากคำผู้ร้องไว้ ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป