ศาลฎีกานักการเมือง ขอแสวงหาข้อเท็จจริงปมทักษิณรักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 เอง โดยให้อัยการ ทักษิณ ผบ.เรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ แจ้งศาลทราบภายใน 30 วัน และนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (30 เม.ย. ) ศาลนัดฟังคำสั่งในคดีที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2568 เพื่อขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ซึ่งนายชาญชัย เห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 มาตรา 89/2 (1) (2) และมาตรา 246 และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 25 ก.ย.2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ก่อนหน้านี้ นายชาญชัย เคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 และเมื่อวันที่ 15 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้ง 2 เรื่องโดยไม่ต้องไต่สวน โดยให้เหตุว่าเมื่อศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล จึงไม่ต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2568 นายชาญชัย ยื่นคำร้องอีกเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งเดิม และขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดง อม.4/2551 คดีแดง อม. 10/2552 และคดีแดง อม.5/2551 ของศาลนี้ และไม่ใช่ผู้เสียหายของคดีดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลนี้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรให้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551, จำเลยที่ 1 ในคดีแดงที่ อม 10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ของศาลนี้แล้วให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่า มีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้องหรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาลว่า การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ อย่างไร ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6 โดยให้โจทก์จำเลยดังกล่าว ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบพร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล
สำหรับกรณีที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้นเมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลกรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อดังกล่าว ทั้งนี้ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 เวลา 09.30 น.
นายชาญชัย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวภายหลังจากการไต่สวนเสร็จสิ้นว่า ภายหลังจากศาลไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลมีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากตนในฐานะผู้ร้อง ไม่ได้เป็นผู้เสียหายจากการบังคับโทษโดยตรงจากจำเลย เมื่อตนไม่ใช่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในชั้นบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลนี้ ซึ่งศาลมีคำสั่งแจ้งไปยังนายทักษิณ และผู้ที่เกี่ยวข้องส่งสำเนาคำร้องต่อศาลภายใน 30 วัน
เมื่อถามว่าในการไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย. นี้ นายทักษิณจะต้องมาฟังการไต่สวนของศาลหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ในส่วนนี้อยู่ที่ขั้นตอนของศาลว่าจะเรียกนายทักษิณเข้ามาฟังการไต่สวนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ศาลเพียงให้ชี้แจงเข้ามาก่อนเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าการยื่นคำร้องต่อศาลในครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จตามความตั้งใจหรือไม่
นายชาญชัย กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการไต่สวนของศาลฎีกาฯเท่านั้น ถือว่าจบเรื่องในชั้นนี้ไปแล้ว ซึ่งตนยืนยันว่าจะมาฟังทุกนัดที่ศาลฎีกาฯ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ไปด้วยในตัว แต่ถ้าหากไม่ว่างก็จะเป็นนายนิติธร ล้ำเหลือ เข้ามาฟังแทนตน ทะฝนี้จะได้เป็นการบอกต่อไปยังพี่น้องประชาชนว่าศาลฎีกาฯ ช่วยให้คดีนี้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า วันนี้ถึงแม้ศาลจะยกคำร้องของตนแต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีกับทุกฝ่ายเนื่องจากศาลได้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ชี้แจงข้อเท็จจริงของตัวเองให้ชัดเจน และยืนยันว่าจะไม่มีการยื่นคำร้องครั้งต่อไปอีกแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีศาล แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แสวงความข้อเท็จจริงโดยอ้างอิงจาก พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560
มาตรา 6 การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวนโดยให้ศาลค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณ
หรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้แม้ว่าการไต่สวนพยานหลักฐานนั้นจะมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากขั้นตอน วิธีการ หรือกรอบเวลา ที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าศาลได้ให้โอกาสแก่คู่ความในการโต้แย้งคัดค้านพยานหลักฐานนั้นแล้ว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนั้น ทั้งนี้ ตามแนวทางและวิธีการตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา
การพิจารณาของศาลต้องเป็นไปโดยรวดเร็วตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ทั้งนี้ โดยนำสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือของคณะผู้ไต่สวนอิสระ แล้วแต่กรณี เป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ ศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ ตลอดจนขอให้ศาลอื่น พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ดำเนินการใดเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาได้
ศาลมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมายในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของศาลที่มิใช่การพิจารณาหรือพิพากษาคดีได้