ตำรวจญี่ปุ่นขอบคุณตำรวจไทยจับกุม "ยามากูชิ" หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระดับบิ๊กเบิ้ม
วันนี้ (12 เม.ย.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ได้เข้าร่วมประชุมกับ นายโยชิโนบุ คุสึโนกิ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น , นายอาริชิกะ เอกุจิ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามอาชญากรรม , นายคาสึมิ โอกะซาวาระ ผู้บัญชาการกิจการระหว่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น/ที่ปรึกษาพิเศษของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น , นายเรียว ยาสึเอดะ ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการสืบสวนระหว่างประเทศ , นายโยชิตากะ ซาโตะ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามอาชญากรรม 2 ณสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น (National Police Agency)
ทั้งนี้ จากกรณีที่ตำรวจไทยได้มีการระดมกวาดล้างขยายผลอย่างต่อเนื่องในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ทางตำรวจไทยได้มีการจับกุมนายยามากูชิ ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งยามากูชิ-กุมิ ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น โดยนายยามากูชิ ได้ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในประเทศกัมพูชา และเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา และนายยามากูชิ ได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในแมนชั่นหรูย่านสาทร กทม.โดยทำธุรกิจเปิดเว็บไซต์ถ่ายภาพศิลปะราคาแพงบังหน้า
ต่อมาหลังตำรวจไทยจับกุม นายยามากูชิ และส่งตัวกลับไปถึงประเทศญี่ปุ่น สื่อมวลชนทุกช่องและประชาชนชาวญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจอย่างมาก ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นได้จัดทำประกาศนียบัตรขอบคุณตำรวจไทย และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางตำรวจไทยจับกุมนายยามากูชิ ได้
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการหารือกับทางตำรวจญี่ปุ่น พบว่าในประเทศญี่ปุ่น ปัญหาการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ประชาชนจำนวนมากถูกหลอกลวงเอาเงินไปเป็นจำนวนเงินมหาศาล โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ไปลักลอบตั้งอยู่ในเขตเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา และประเทศกัมพูชา ซึ่งมีนายยามากูชิ เป็นหัวหน้าแก๊ง
ในการหารือครั้งนี้ ทางไทยและญี่ปุ่นจะร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งสร้างปัญหาให้กับทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นให้หมดไป โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเดินหน้ามาตรการระเบิดสะพานโจร เพื่อกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ให้มาสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งสองประเทศต่อไป