ศาลอาญาทุจริตยกฟ้อง 4 กสทช.กับพวก รวม 5 คน ไม่ผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ปมซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก-เปลี่ยนรักษาการแทนเลขาฯ กสทช. แต่มีผู้พิพากษาในสำนวนทำความเห็นเเย้งว่ากระทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษคุก 1 ปี ปรับคนละ 1 แสน รอลงอาญา
วันนี้ (8 เม.ย.) ที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.เลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท.155/2566 ที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ และรักษาการแทนเลขาธิการกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรรมการ กสทช. 4 รายและรองเลขาธิการอีก 1 ราย ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ (จำเลยที่ 1) ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต (จำเลยที่ 2) รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย (จำเลยที่ 3) รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ (จำเลยที่ 4) และ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. (จำเลยที่ 5) เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172
จากกรณีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายและและดำเนินการให้มีการเปลี่ยนรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์ โดยมิชอบ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ได้รับความเสียหาย ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน ถูกเสนอให้ต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ก่อให้เกิดความสับสน ความแตกแยกในหมู่พนักงานเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง เพราะมีข่าวออกเผยแพร่ทันทีภายหลังการประชุม กสทช. เสร็จสิ้น รวมถึงหมดโอกาสในการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานจากการ กระทำของจำเลยทั้ง 5 ทำให้โจทก็ได้รับผลกระทบต่อการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. ซึ่งจะมีขึ้นในภายภาคหน้าต่อไปด้วย จำเลยที่ 5 เป็นรองเลขาธิการ กสทช. สายงาน กิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และเป็นผู้รักษาการแทนโจทก์ แต่จำเลยที่ 5 โดยเจตนาทุจริตกลับจัดทำบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด (ลับ) ส่วนงานเลขานุการ กสทช. สายกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ แต่งตั้งตนเองเป็นพนักงานผู้รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และตนเองจะได้ดำรงตำแหน่งแทน จึงเป็นการจงใจปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่1-4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย เป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยทุจริต หรือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือตำแหน่ง หน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 อีกทั้งภายหลังจากที่จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันลงมติตามระเบียบวาระ 5.22 ในการประชุม กสทช. และจำเลยที่ 5 ได้จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์แล้วปรากฏว่าสื่อมวลชนได้มีการนำเสนอและเผยแพร่ข่าวที่ กสทช. มีมติปลดโจทก์ และให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้าที่ ผ่านทางสื่อหลายสำนัก หลายช่องทางด้วยกันทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการนำเสนอข่าวดังกล่าว ชื่อเสียง รวมถึงเสียโอกาสในหน้าที่การงาน ตนเอง
โดยวันนี้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เเละจำเลยทั้ง 5 เดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์เเล้ว เห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้ง5 ได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าคณะกรรมการ กสทช.มีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.จัดสรรคลื่นความถี่ ตามมาตรา 27 มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพและเป็นธรรมเเละมาตรา 20 มีหน้าที่อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายพิจารณาให้ความเห็นชอบจัดสรรงบประมาณและอนุมัติโดยคำสั่งตาม พรบ.นี้หรือตามที่รับมอบหมาย
การมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสนับสนุนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 เป็นการได้กระทำการตามที่ระเบียบ กสทช. กำหนดไว้ ข้อเท็จจริงเห็นได้ว่าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดดังกล่าวได้กระทำตามอำนาจหน้าที่โดยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปความคิดเห็นเสนอต่อที่ประชุม กสทช.ตามลำดับจัดการตรวจสอบและการประชุมรวม 7 ครั้งภายใน 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.-28 เม.ย. 2566
จากพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดมิได้มีข้อพิรุธแต่ประการใดการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีรายละเอียดชัดเจนโจทก์ในฐานะเลขาธิการ กสทช. จะมีการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติของพนักงานรัฐ และผิดวินัย และการที่จำเลยที่1-4มีมติเห็นชอบผลการสอบสวนวินัยแก่โจทก์เป็นการเสนอตามระเบียบวาระการประชุมชอบด้วยพรบ.วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติปี 2553 ประกอบระเบียบฯเรื่องวาระการประชุม ส่วนการแต่งตั้งจำเลยที่5มารักษาการแทนก็มาจากเป็นผลจากการที่โจทก์มีการพิจารณาต่อเนื่อง ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเป็นการพิจารณาตามวาระการประชุมที่ชอบด้วยบทบัญญัติด้วยเช่นกัน ในส่วนจำเลยที่ 5 เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ซึ่งเป็นไปตามระเบียบจากวาระที่ประชุมพยานหลักฐานโจทก์ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 การกระทำของจำเลยทั้ง 5 ชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยเพราะไม่ ทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลง พิพากษายกฟ้อง
สำหรับคดีนี้มีผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนได้ทำความเห็นแย้งแนบท้ายคำพิพากษาซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยโดยระบุว่าการทำหน้าที่ของจำเลยที่ 1-4 ไม่โปร่งใสมีความจงใจให้โจทก์ออกจากตำแหน่งได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นที่เคลือบเเคลงความสงสัยต่อการทำหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่1-4 เป็นความผิดตามโจทก์ฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 5 ก็กระทำความผิดในการเร่งรัดขั้นตอน ในการเข้ามารับหน้าที่รักษาการแทน และเห็นว่าภายหลังมีคำสั่งยกเลิกการสอบสวนโจทก์ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ไม่เลวร้ายพฤติกรรมแห่งคดีการลงโทษจำเลยทั้ง5 ไม่มีประโยชน์จึงให้รอการลงโทษพิพากษาว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา83 พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 ให้ลงโทษจำคุกคนละหนึ่งปีปรับคนละ 100,000 บาทโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
โดยภายหลังอ่านคำพิพากษา ศาลได้อธิบายเรื่องความเห็นเเย้งว่าเนื่องจากคดีนี้มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนที่เป็นผลร้ายต่อจำเลย โดยองค์คณะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยให้ทำคำพิพากษาแนบท้ายไว้เพื่อศาลสูงพิจารณาต่อไป
ภายหลัง ศ.ดร.พิรงรอง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ศาลตัดสินยกฟ้องตนกับพวกในคดีนี้เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย และในส่วนที่องค์คณะมีความเห็นแย้งในคดีนี้ให้สั่งจำคุกนั้นตนไม่ได้หนักใจเป็นสิทธิของศาลที่สามารถทำได้ แต่ตนคาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีการใช้สิทธิอุทรณ์ของฝ่ายโจทก์ โดยตนเตรียมที่จะอุทรณ์ข้อเห็นแย้งของฝ่ายโจทก์ด้วย
เมื่อถามว่ามีการศึกษาคำพิพากษาฉบับเต็มแล้วหรือไม่ ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า มีการศึกษาคำพิพากษาฉบับเต็มแล้วแต่ตนคาดว่าน่าจะใช้เวลาศึกษาอีกอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวอีกว่า ตนต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมกับตนเองและทุกคน ตนขอยืนยันว่าทุกคนนั้นทำหน้าที่ตามกฎหมายโดยตลอด และเหตุแห่งคดีนี้เป็นการปกป้องประโยชน์ของสาธารณะ ทั้งส่วนของผู้บริโภคในส่วนของการรับชมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก และส่วนของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากกสทช.แต่ไม่สามารถถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกได้
เมื่อถามว่าคดีก่อนหน้านี้ที่บริษัท ทรู เป็นฝ่ายยื่นฟ้อง ได้มีการยื่นอุทรณ์แล้วหรือยัง ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า คดีนั้นทางตนยังไม่ได้มีการยื่นอุทธรณ์ เพราะยังอยู่ในระยะเวลาของการศึกษาคำพิพากษาอยู่ ซึ่งในคดีนี้มีอัยการและทนายความเข้ามาเป็นผู้ช่วยแก้ต่างด้วย โดยส่วยที่จะอุทรณ์ประเด็นใดนั้นจะต้องหารือกับอัยการแบะทนายความของตนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่าในส่วนของเงิน 6 ร้อยล้านบาท มีกระบวนการติดตามข้อเท็จจริงในส่วนนั้นอย่างไร ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบค่าปรับในระดับคณะทำงานของกสทช.ขึ้นมา โดยตนเข้าใจว่าคณะทำงานได้ทำงานส่วนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อย น่าจะอยู่ในวาระสำหรับการพิจารณาของกสทช.แน่นอน
ขณะที่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมกับพวกเราทั้ง 4 คน และเชื่อว่าสิ่งที่พวกเราทำมา เราทำมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งได้ดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ เพราะสิ่งที่เราทำมาเป็นไปตามกฎระเบียบทุกอย่าง
ส่วนจะมีมาตราการดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ กล่าวว่า อันนี้เป็นสิทธิของโจทก์ว่าจะอุทธรณ์หรือไม่อย่างไร แต่สิ่งที่ศาลให้คำตัดสินว่า ในการดำเนินการในเรื่องนี้หากมีการดำเนินการให้เป็นไปตามมติของ กสทช.ตนมองว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เนื่องจากมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามมติ ของ กสทช. เลยทำให้เกิดปัญหา
พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ ระบุว่า จริงๆ แล้วตนมองว่าคงมีอีกหลายประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาในลักษณะของการทำงานของ กสทช. ที่ทำให้ในบางเรื่องมีมติแล้ว แต่ในหลายครั้งที่มตินั้นไม่ยอมนำไปสู่การปฏิบัติ และมีหลายเรื่องที่เราโดนฟ้อง ทั้งๆที่เราเองพยายามปกป้องสิทธิหน้าที่ของประชาชนและอำนาจหน้าที่ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการตั้งรักษาการเลขาธิการกสทช. ก็ควรต้องเป็นอำนาจของคณะกรรมการที่จะต้องมาร่วมกันให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ มองว่า ในแง่ของการที่จะแต่งตั้งรองเลขาธิการคนต่อไป ก็เชื่อว่าก็ต้องเป็นอำนาจของกสทช. ไม่ใช่ว่าจะเป็นอำนาจของใครคนใดคนหนึ่งที่จะมีอำนาจในการมาดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็ทราบดีว่าเป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามระเบียบ รวมทั้งแนวทางปฏิบัติของ กสทช. หลายๆชุดที่ผ่านมา ก็ได้มีการปฏิบัติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบางครั้งอาจจะมีการดำเนินการที่ไม่ยอมรับในมติหรือไม่เป็นไปตามมติ จึงทำให้เกิดปัญหา แต่อย่างไรพวกเราก็พร้อมที่จะยืนหยัดทำหน้าที่เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน