รองผู้ว่าฯ กทม.เผย สตง.ส่งตัวแทนมอบแปลนอาคารตึกใหม่ถล่ม ช่วยภารกิจค้นหา คนงานติดซากตึก ยืนยันทำงานไม่ล่าช้า แต่เพิ่งตรวจพบสัญญาณชีพ
วันนี้ (31 มี.ค.) รศ.ทวิดา กมลเวช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกรณีตัวแทนสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นำเอกสารแบบแปลนของอาคารใหม่ที่เกิดเหตุถล่มมาส่งมอบให้ว่า เอกสารที่เจ้าหน้าที่ตัวแทนจาก สตง.นำมาในวันนี้ คือแบบแปลนอาคารการก่อสร้าง ซึ่ง จะมีการระบุตำแหน่งและจุดสำคัญต่างๆ ภายในอาคาร เช่น บันไดหนีไฟ และลิฟต์ ซึ่งข้อมูลชุดนี้จะนำมาใช้ในการหารือและวิเคราะห์ร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย สำหรับใช้เป็นแนวทางในการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายให้รวดเร็ว โดยจะพิจารณาว่าพื้นที่บริเวณชั้นใดหรือจุดใดของอาคารมีการใช้งานอย่างไร
ส่วนภารกิจการค้นหาผู้ติดค้างภายใต้ซากอาคาร ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งปฏิบัติการช่วยเหลือผู้สูญหายอย่างเต็มที่ โดยสาเหตุที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากพื้นที่หลังเข้ามาติดตามความคืบหน้าภารกิจได้เพียง 20 นาที เนื่องจากคณะทำงานสามารถตรวจจับสัญญาณชีพของผู้สูญหายได้ 1 คน และต้องอาศัยความเงียบในการตรวจสอบสัญญาณชีพที่ยังอ่อน จึงทำให้ต้องเดินทางกลับอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กระทบกับการปฏิบัติงาน ซึ่งต้องการความเงียบ
ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและทีมสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาหารืออย่างละเอียดถึงแนวทางการเข้าช่วยเหลือผู้ที่มีสัญญาณชีพดังกล่าวด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด
อย่างไรก็ตามขอชี้แจงถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับความล่าช้าในการปฏิบัติการช่วยเหลือ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ล่าช้า เนื่องจากเพิ่งตรวจพบสัญญาณชีพของผู้สูญหายได้เมื่อครู่นี้เอง และในส่วนของกรอบเวลา 72 ชั่วโมงนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นหลักการทางการแพทย์สากลที่บ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่มีโอกาสช่วยเหลือผู้สูญหายและมีอัตราการรอดชีวิตสูงที่สุด
ส่วนประเด็นที่ไม่สามารถทำการเจาะทะลุเข้าไปในซากอาคารเพื่อช่วยเหลือได้ทันทีนั้น ต้องขออธิบายว่า เนื่องจากผู้สูญหายยังมีชีวิตอยู่ การกระทำใดๆ ที่รุนแรงจนอาจทำให้ซากอาคารถล่มซ้ำ จะยิ่งนำมาซึ่งความสูญเสียและเสียหายที่มากขึ้น ดังนั้น ในช่วง 1-2 วันแรก
จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการหน้างานที่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์พื้นที่และประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ และแม้จะเลยกรอบเวลา 72 ชั่วโมงไปแล้ว ทีมค้นหาก็ยังคงไม่หยุดปฏิบัติการ แต่โอกาสที่ผู้สูญหายจะอ่อนแอลงนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การดำเนินการทุกอย่างจึงต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและมีสติ
สำหรับการเดินทางมายังพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น มีจุดประสงค์เพื่อติดตามสถานการณ์และรับทราบถึงความยากลำบากในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยให้การประสานความร่วมมือต่างๆ เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการขอความช่วยเหลือในระดับนานาชาติ อำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีจะช่วยให้ปฏิบัติการดังกล่าวมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ในระหว่างการปฏิบัติงาน อาจมีการดับเครื่องจักรเป็นระยะๆ เพื่อทำการตรวจหาสัญญาณชีพ
แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และหลังจากนี้จะพยายามจัดเวลาให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนอย่างสม่ำเสมอ หากมีเหตุเร่งด่วนใดๆ ก็จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง