ศาลอาญาสั่งจำคุก "สิระ เจนจาคะ" อดีตสส.กทม.1 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง 20 ปี จากเหตุลงสมัครสส.เมื่อปี 2562 ทั้งที่รู้ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ด้านทนายยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวสู้คดี
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำอ.3200/2566 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยฐานกระทำผิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 4,42(12),151และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลย 20 ปี
อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2562 จำเลยได้บังอาจลงลายมือชื่อสมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 9 กทม.โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็น สส. อันเป็นลักษณะต้องห้าม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ให้จำคุก 4 เดือนฐานฉ้อโกง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำอ. 812/2538 ลงวันที่ 21 พ.ย.2538
ช่วงวันนี้นายสิระ อดีตสส.กทม.พรรคพลังประชารัฐพร้อมทนายความ เดินทางมาฟังพิพากษา
ศาลพิเคราะ์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศให้ผู้สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 4 - 8 ก.พ. 2562 ที่อาคารกีฬาเวศน์ 2 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 9 พรรคพลังประชารัฐต่อมาจำเลยได้รับเลือกตั้งต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีคุณสมบัติขาดคุณสมบัติรองรับสมัครการเลือกตั้งเนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันในคดีทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์เป็นเวลา 4 เดือนต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 62 การกระทำของจำเลยเป็นการเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการไต่สวนโดยให้เพิกถอนจำเลยและดำเนินคดีอาญากับจำเลยเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติลงรับสมัครการเลือกตั้ง
เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์พบว่าจำเลย เคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุด ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ต่อศาลแขวงปทุมวัน ซึ่งมีพ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย เป็นผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวัน ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นความผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 8 เดือน แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกนายสิระ จำเลย 4 เดือน ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน จำเลยจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่มีสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้ง สส.
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอีกว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติในการลงสมัครเลือกตั้ง สส.แต่ยังลงรับสมัครเลือกตั้งหรือไม่ เห็นว่าจะพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเพียงพอส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติลงสมัครเลือกตั้ง สส.ซึ่งจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ 2561 มาตรา 42 (12),151 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และให้เพิกถอนสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้ง 20 ปี นับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา
ภายหลังทนายความของนายสิระ ได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลเพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี