xs
xsm
sm
md
lg

"บิ๊กเต่า"แถลงผล"สยบนาคี" จับแก๊งโกงยา รพ.ทหารผ่านศึก ทำรัฐเสียหายกว่า 60 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



รอง ผบช.ก. นำทีมแถลงผลปฏิบัติการ "สยบนาคี" รวบ 8 ผู้ต้องหาขบวนการทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก ส่งขายตลาดมืด พบ 7 ปี ทำรัฐเสียหายกว่า 60 ล้านบาท


วันนี้ (26 มี.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป. พร้อมด้วย นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พ.ต.ท.สิริพงศ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. นายสุสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสืบสวนสอบสวนและกิจการพิเศษ เภสัชกร เลิชชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง.ร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ “สยบนาคี” บุกจับแพทย์ พยาบาลทหาร พร้อมพวก ร่วมทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ภายหลังปฏิบัติการเข้าตรวจค้น และจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 8 ราย พร้อมเข้าตรวจค้นร้านยาที่ต้องสงสัยอีก 11 จุด

สำหรับรายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีทั้ง 8 รายคือ พญ.หรือ น.ส.บรินดา อุจวาที อายุ 48 ปี ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ,พ.อ.หรือ น.ส.กัญยารัตน์ จิตต์ประสงค์ อายุ 59 ปี,นายสมปราช เคนถาวร อายุ 49 ปี ,ร.ต.หญิง ภาวนา เคนถาวร อายุ 49 ปี ,น.ส.สุรีย์ ถิรนุทธิ อายุ 50 ปี ,นายสมพงศ์ กิจเจริญไพศาล อายุ 53 ปี , นายทินกร จันทร์เมือง อายุ 49 ปี และนางอภิญญา จรจรัส อายุ 56 ปี ตรวจยึดของกลางมา ประกอบด้วย กล่องลังที่ใช้บรรจุยา , เงินสดมูลค่า 10.9 ล้านบาท , โฉนดที่ดินที่พบในบ้านพัก ซอยแสงจันทร์ เขตคลองเตย , ถุงซิปล็อคใส่ยาที่มีการแกะฉลากชื่อออกแล้ว จำนวนมาก , สมุดบัญชี , ถุงพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาหลังนำมาพัก แล้วส่งต่อไปที่จังหวัดปราจีนบุรี , ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดยี่ห้อ Pradaxa อีกจำนวนหลายกล่อง

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้แจ้งเบาะแส คือ คุณพัชนีย์ ที่พบเห็นการทุจริตแล้วไม่นิ่งดูดาย ใช้ความรู้และทรัพย์สินส่วนตัวเก็บข้อมูลภาพคลิปหลักฐานทุกอย่าง ซึ่งทางผบช.ก.จะมอบโล่ทำความดีเพื่อสังคมให้ สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเป็นแค่กลุ่มแรก ซึ่งยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีแผนประทุษกรรมแบบนี้ เป็นขบวนการใหญ่ ทำกันหลายที่ หลายโรงพยาบาล หลังจากนี้ จะต้องไปตามเช็คบิล โดยตอนนี้ตำรวจได้รับข้อมูลจากกรมบัญชีกลางแล้ว กำลังตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดอีก โดยหากใครรู้ตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้รีบเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ถ้าช้าจะถูกออกหมายจับ

พล.ต.ต.ประสงค์ กล่าวว่า หลังมีการเปิดประเด็นเรื่องนี้ทางโซเชียลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้รับข้อมูลและทำการสืบสวน จนสามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 12 ราย และขอออกหมายจับ 8 รายส่วนอีก 4 ราย นั้นได้เรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว

ด้าน พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ กล่าวว่า คดีเริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี 2561 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ แพทย์หญิงบรินดาที่สั่งจ่ายยา และกลุ่มผู้สนับสนุน คือ พันเอกหญิงกัญยารัตน์ ที่ดำเนินการเกณฑ์คนผ่านแม่ทีม จากจังหวัดลพบุรี 6 ทีม รวมกว่า 600 คน ขึ้นรถตู้มาพบแพทย์หญิงที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ทุกคนมีสิทธิเบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 1,000 บาทในครั้งแรก หลังจากนั้นได้หัวละ 500 บาท และได้เปอร์เซ็นต์อีก 10% จากค่ายาที่เบิกได้ ส่วนแม่ทีมได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,500 บาท

พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ กล่าวต่อว่า หลังจากรับยามาแล้วก็จะมารวมตัวกันที่ปั๊มน้ำมันข้าง ๆ โรงพยาบาล และนัดหมายนำยาไปส่งในที่ต่าง ๆ ทั้งที่พักย่านเกียกกาย และคอนโดย่านพระราม 4 ของพันเอกหญิงกัญยารัตน์ ซึ่งใน 1 สัปดาห์แพทย์หญิงรายนี้จะลงตรวจทั้งหมด 3 วัน ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์จะมีรถแท็กซี่มารับยาจากที่พักนำไปส่งให้ นายสมปราช ที่ จ.ปราจีนบุรี ก่อนจะส่งกลับมาที่กรุงเทพ ให้นางสาวสุรีย์ และนายสมพงศ์ ซึ่งจะกระจายยาไปตามร้านขายยา จากการตรวจค้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ยังได้พบถุงสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาตรงกันกับที่พบในคอนโดย่านพระโขนงและพระราม 4 ด้วย

ส่วน ภก.เลิศชาย กล่าวถึงการเข้าตรวจสอบร้านขายยาทั้ง 11 ร้าน ว่า พบมี 5 ร้านที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง แต่อีก 6 ร้าน พบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะรับยามาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้อง และมีการขายยาโดยที่เภสัชกรไม่อยู่ อีกทั้งยังขายยาในกลุ่มที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดย 1 ใน 6 ร้าน พบสภาพไม่ได้เป็นร้านขายยา แต่เป็นตึกปิดมิดชิด และไม่มีใบอนุญาตขายยาด้วย ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบต่อด้วยว่ายาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทนั้นมีการนำมาจากที่ใด

ด้าน นางแพตริเซีย กล่าวว่า กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัวที่ผ่านมามีการเข้าไปตรวจสอบสถานพยาบาลต่าง ๆ ว่ามีการเบิกจ่ายยาอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งก็มีการเรียกเงินคืนอยู่บ้าง แต่กรณีเหล่านั้นเกิดจากการเบิกจ่ายที่ใช้เกิน หรือใช้สิทธิผิดประเภท รวมถึงมีบางกรณีที่คนไข้คนเดียวไปเบิกจ่ายยาจากหลายโรงพยาบาลภายในวันเดียวกัน ก็จะถูกระงับสิทธิและตรวจสอบ แต่ขบวนการที่ถูกจับกุมในวันนี้มีความแตกต่าง คือมีการตั้งต้นจากตัวแพทย์เอง และมีคนใช้สิทธิมาเป็นลูกข่าย ซึ่งแพทย์หญิงคนนี้มีการสั่งจ่ายยาเป็นจำนวนมากที่สุดในโรงพยาบาลระหว่างปี 2560-2567 มีมูลค่าการสั่งจ่ายยา 84.7 ล้านบาท คิดเป็น 28.72% ของแพทย์ทั้งหมดในโรงพยาบาล ประมาณ 100 ท่าน หลังจากนี้จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการไปไล่ตรวจสอบว่ามีขบวนการที่มีลักษณะเดียวกันนี้ เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง

พล.อ.นิธิศ กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ก็เห็นความผิดปกติของงบการเงินของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และพบความผิดปกติของกลุ่มคนที่มารับบริการที่มีชื่อซ้ำ ๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแพทย์เพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจ ในปีงบประมาณ 2567 จึงเข้มงวดกับเงื่อนไขการเบิกจ่ายยา ส่งผลให้งบการเงินกลับมาเป็นบวก มีกำไร 70 ล้านบาท จึงขอยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือ ควบคุมระเบียบร่วมกับกรมบัญชีกลาง ไม่ให้เงินภาษีประชาชนรั่วไหลอีก แม้แต่บาทเดียว

ด้าน นายภูมิวิศาล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแผนประทุษกรรมในการทุจริตการเบิกจ่ายยา ส่วนใหญ่จะพบผู้กระทำความผิดไม่เกินสองคนคือผู้จ่ายและผู้รับ แต่ครั้งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยทาง ป.ป.ท. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาต่อไป

ขณะที่นายเทพสุ กล่าวว่า หลังจากนี้จะเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม ให้มีมติมอบหมายในการตรวจสอบเชิงลึกอย่างเร่งด่วน ซึ่งนอกจากการยึดทรัพย์ จะทำการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด โดยเฉพาะของแพทย์หญิงที่สั่งจ่ายยา ซึ่งหากพบว่าเกี่ยวข้องกับข้อหาฟอกเงิน ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไปด้วย

พ.ต.ท.สิริพงษ์ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า วันนี้ถือเป็นดำเนินคดีเครือข่ายทั้งหมด 12 คนแล้ว ครบทั้งขบวนการไม่เหลือใครตกขบวนแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คน ให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยนายสมปราช ที่เป็นคนรับยามาจาก พันเอกหญิงกัญยารัตน์ และถูกจับกุมในจังหวัดปราจีนบุรี นั้น ยอมรับแค่ในพฤติการณ์ที่ทำ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่จากการตรวจสอบพบว่า นายสมปราช หลังจากรับยามาจาก พันเอกหญิงกัญยารัตน์ จากนั้นนางสาวสุรีย์ ได้ซื้อต่อมา แล้วนำมากระขายส่งต่อที่ร้านขายยา นายสมปราช กับ นางสาวสุรีย์ รู้จักกันผ่านทางโซเชียล และค้าขายยากันมา 6-7 ปีแล้ว

พ.ต.ท.สิริพงษ์ ยังอธิบายถึงผลประโยชน์ของขบวนการนี้ด้วยว่า ยามี 2 ชนิด คือ ยาในบัญชีที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนยานอกบัญชีคือยาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีราคาแพง ซึ่งจากการพบในเคสนี้ เป็นยานอกบัญชี 90% ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นห่างกัน 2-10 เท่าตัว และเคสนี้ยาไม่มีต้นทุน เพราะทุกบัตรประชาชนที่ถือมาคนที่จ่ายเงินคือกรมบัญชีกลาง ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบเป็นยาในกลุ่มเรื้อรัง ยาเบาหวาน ความดัน และยาที่พบมากที่สุดในขบวนการนี้ คือ ยาลดไขมันในเลือด ซึ่งมีราคาเกือบ 1,000 บาทต่อกล่อง ต้นทุนอาจจะ 3 บาทต่อเม็ด แต่พอไปถึงร้านขายยาเพิ่มขึ้นเป็น 20-21 บาทต่อเม็ด ซึ่งจากขบวนการนี้ สร้างความเสียหายต่อรัฐทั้งหมด 50-60 ล้านบาท

พ.ต.ท.สิริพงษ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับพยานหลักฐานในคดี ที่สามารถเอาผิดได้นั้น เริ่มจากการใช้ดุลพินิจที่ผิดปกติ จากการไปตรวจสอบเวชระเบียน พบการกรอกเอกสารเท็จ นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐานที่เข้ามายืนยันเรื่องการรับประโยชน์ เส้นทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบการทำหน้าที่ของแพทย์หญิง ซึ่งได้ตรวจสอบไป 5 ปีย้อนหลัง พบว่าแพทย์หญิงท่านนี้มีคนไข้ที่อยู่ในความดูแล 2,000 กว่าคน และเครือข่ายพวกนี้ จะแวะมาโรงพยาบาล 4 ครั้งต่อปี เท่ากับจะรักษาคนไข้และจ่ายให้หมื่นกว่าครั้งต่อปี จึงเป็นความผิดปกติทั้งหมด










กำลังโหลดความคิดเห็น