ผกก.สน.ยานนาวา เผย ตำรวจส่งหมายเรียกและติดต่อไปยัง “ดิว อริสรา” ให้ปากคำคดีแลกเงินดอลลาร์ปลอมแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการประสานเข้ามาพบ
วันนี้ (25 มี.ค.) พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ยานนาวา เปิดเผยความคืบหน้ากรณีวันนี้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีแลกเงินดอลลาร์ปลอม จำนวน 7 ราย หนึ่งในนี้มี ดิว อริสรา รวมอยู่ด้วย ว่า ได้เรียกให้ทั้งหมดมาให้ปากคำเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในฐานะพยาน ซึ่งเบื้องต้นรับการประสานจากพยานบางคน ว่า จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ แต่ยอมรับว่า พยานบางคนอาจจะขอเลื่อนพบพนักงานสอบสวน เนื่องจากไม่อยากจะพบสื่อมวลชนที่มาปักหลักรอทำข่าว หากใครที่เลื่อนพบพนักงานสอบสวน จะออกหมายเรียกครั้งถัดไป
เมื่อช่วงเช้ามีนายโอ๊ตเข้ามาให้ปากคำ ให้การที่เป็นประโยชน์ที่สามารถนำไปขยายต่อได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ดิว อริสรา นั้น ยังไม่ได้มีการประสานเข้ามาพบตามหมายเรียกแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่า ตำรวจส่งหมายเรียกและติดต่อไปยัง ดิว อริสรา แล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า พยานทั้ง 7 คนนั้น มีบางรายที่มีประวัติถูกออกหมายจับค้างเก่า และมีประวัติถูกดำเนินคดีทางอาญาในคดีฉ้อโกง ยักยอก และเมาแล้วขับ แต่ต้องตรวจสอบว่า เคยถูกจับกุมตามหมายจับนั้นๆ แล้วหรือไม่ ทั้งนี้ ยังไม่พบว่าแต่ละคนเคยมีประวัติถูกดำเนินคดี หรือออกหมายจับในคดีเรื่องเงินปลอมแต่อย่างใด
ส่วนการเรียกมาสอบปากคำในครั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำใน 2 ประเด็น ทั้งประเด็นในเรื่องที่เคยมาแจ้งความเกี่ยวกับการกักขังหน่วงเหนี่ยวและประเด็นในเรื่องดอลลาร์ปลอม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงของทั้ง 2 คดี อย่างครบถ้วนและรอบด้าน โดยมุ่งเน้นแสวงหาพยานหลักฐานเป็นหลัก ก่อนจะพิจารณาต่อไปว่ามีใครกระทำความผิดเรื่องอะไรบ้างและดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับประเด็นแรก ในเรื่องการแจ้งความกักขังหน่วงเหนี่ยวนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้มีการโทร.แจ้งความลงบันทึกประจำวันโดยพ่อของ น.ส.มณฑกาญณ์ เจริญโชติสุรดิษ หรือ เกด อายุ 30 ปี ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 67 ว่า ลูกหายไป จึงได้ให้ไปตรวจสอบที่โรงแรมย่านสาทร ก่อนที่ต่อมาวันที่ 27 ก.ย. 67 ตำรวจได้ไปตรวจสอบและพบเจอผู้เสียหายจริง พาผู้เสียหายมาที่ สน.ยานนาวา จากนั้นรับการยืนยันจากผู้เสียหาย ว่า จะถอนแจ้งความ ให้เหตุผลว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่หลังจากนั้นวันที่ 30 ก.ย.67 น.ส.เกตุได้เดินทางกลับมาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง เพื่อขอลงบันทึกประจำวันเอาผิดกับกลุ่มในโรงแรม แต่ขอให้มีการเจรจาก่อน
ต่อมาวันที่ 3 ต.ค. 67 เกตุได้เดินทางกลับมาอีกครั้งพร้อมแจ้งความเอาผิด ดิว อริสรา และพวก ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำให้ตำรวจทราบว่า มี ดิว อริสรา อยู่ในคดีดังกล่าวด้วย จึงเป็นเหตุทำให้ในวันนี้ พนักงานสอบสวนต้องเรียกสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อเท็จจริงว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยวกันจริงหรือไม่ เพราะผู้เสียหายแจ้งความกลับไปกลับมาและให้การในตอนนั้นสับสน หากพบว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง จะพิจารณาดำเนินคดีกับผู้เสียหายข้อหาแจ้งความเท็จต่อไป แต่หากพบว่าได้ดังกล่าวเป็นความจริง จะดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประเด็นที่ 2 ในเรื่องการแลกเงินดอลลาร์ปลอมนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาตลอด 7 เดือน ยังไม่เคยมีการแจ้งความร้องทุกข์ในเรื่องเงินดอลลาร์ปลอมแต่อย่างใด เรื่องราวดังกล่าวเพิ่งมาปรากฏหลังจากที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ทั้งหมดไปออกรายการโหนกระแส
ทำให้ตำรวจต้องเข้ามาสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เพราะเนื่องจากมีประเด็นที่ว่า ยังไม่พบของกลางที่เป็นเงินดอลลาร์ มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 99 ล้านบาท และยังไม่พบของกลางที่เป็นเงินดำหรือเงินปลอมตามที่ผู้เสียหายกล่าวอ้าง อีกทั้งยังไม่พบว่า มีใครให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของชายชาวจีนและชายผิวสีที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้
จึงเป็นเหตุทำให้พนักงานสอบสวนต้องทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะที่ว่า ประเด็นที่มาของเงินว่ามาจากใครและเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก่อนนำไปสู่การดำเนินคดีบุคคลที่อาจจะกระทำความผิดต่อไป ส่วนภาพที่เปิดเผยในรายการในลักษณะการตรวจสอบเงิน อยู่ในระหว่างการตรวจพิสูจน์ว่า เป็นภาพของจริงหรือมีการตัดต่อหรือไม่
ทั้งนี้ ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ดำเนินการสอบปากคำเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงานโรงแรม และผู้มีส่วนร่วมในวันเกิดเหตุ รวมถึงสามารถเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดมาเป็นพยานหลักฐานได้แล้ว แต่ในคดีนั้นจะต้องทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมทั้งประเด็นเรื่องของการกักขังหน่วงเหนี่ยวและการแลกเงินดอลลาร์ปลอม ยืนยันว่าจะทำเรื่องดังกล่าวให้ปรากฏความจริงแก่สังคม แต่ต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนในการทำงานสักระยะ ข้อมูลบางประการอาจจะไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากอยู่ในสำนวนการสอบสวน