ตำรวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการ “หักปีกหงส์เงินดำ” จับสาวชาวจีนตัวการใหญ่ แก๊งหลอกลงทุนออนไลน์ พบเงินหมุนเวียนกว่า 600 ล้านบาท แปลงเป็นเงินคริปโต USDT โอนต่อไปยังผู้ให้บริการในกัมพูชา
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.กฤตัสญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 พ.ต.อ.สุบรรณ โชคพิมพา ผกก. กก.1 บก.สอท.4 ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “หักปีกหงส์เงินดำ” จับกุมสาวจีนตัวการใหญ่ขบวนการหลอกลงทุนกองทุนต่างประเทศ รับยอดคริปโตเคอร์เรนซี พบหมุนเวียนกว่า 18 ล้าน USDT หรือ 600 กว่าล้านบาท
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า สำหรับในคดีนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 มีคนร้ายใช้ภาพโปรไฟล์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีติดต่อมาชวนพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นครูสาว วัย 50 ปี ในพื้นที่ จ.น่าน ผ่านทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ต่อมาได้เปลี่ยนไปติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชันไลน์ จนเริ่มสนิทสนมกัน คนร้ายได้เริ่มชักชวนให้ลงทุนในกองทุนเงินสิงคโปร์ ผ่านแอปพลิเคชันชื่อ “M-DAOP” ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันปลอม โดยอ้างว่าจะได้ค่าตอบแทนสูง ในการลงทุนช่วงแรกสามารถถอนเงินออกมาได้จริงจนเกิดความมั่นใจ จึงลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลับไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จึงรู้ตัวว่าถูกมิจฉาชีพหลอก ซึ่งตลอดระยะเวลาในการร่วมลงทุน 16 วัน ผู้เสียหายโอนเงินไปจำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500,000 บาท ได้คืนกลับมา จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 57,900 บาท รวมยอดความเสียหายทั้งหมดจำนวน 1,442,100 บาท จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ให้ดำเนินคดีกับคนร้าย
ต่อมา พ.ต.อ.สุบรรณ โชคพิมพา ผกก.1 บก.สอท.4 พร้อมชุดสืบสวน กก.1 บก.สอท.4 ได้ทำการสืบสวนแกะรอยหาผู้เกี่ยวข้องในการกระทำผิด จนพบหลักฐานทางเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ต้องหาสัญชาติไทย จำนวน 4 ราย ซึ่งเป็นบัญชีม้าที่ใช้รับโอนเงินสกุลบาท จากผู้เสียหาย และยังมีการเปิดบัญชีม้าคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อใช้ในการแปรสภาพเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงเป็นเงินดิจิทัลสกุล USDT ผ่านวิธีการซื้อเหรียญระบบ P2P บนแพลตฟอร์ม BINANCE และ ผ่านวิธีการโอนเงินสกุลบาทเข้าแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย จากนั้น เมื่อคนร้ายแปรสภาพเงินบาทที่หลอกลวงมาเป็นเหรียญ USDT แล้ว ก็จะโอนต่อไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อยู่ภายใต้ผู้ให้บริการในประเทศกัมพูชา
จากการสืบสวนพบว่า เจ้าของกระเป๋าเงินดิจิทัลปลายทางเป็นของ Mrs.DI WU อายุ 27 ปี สัญชาติจีน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัติการรับโอนเหรียญ USDT ของบัญชีดังกล่าว ในช่วง 2 เดือนพบว่ามีประวัติรับโอนเหรียญ USDT ที่คาดว่าได้มาจากการกระทำความผิดจำนวน 18.4 ล้าน USDT หรือ ประมาณกว่า 618 ล้านบาท และบัญชีเงินดิจิทัลของผู้ต้องหาที่ใช้ส่วนตัว พบว่ามีหมุนเวียนประมาณ 2-4 หมื่น USDT ต่อเดือนหรือประมาณ 600,000 - 1,300,000 บาทต่อเดือน
โดยพบความเชื่อมโยงของกระเป๋าเงินดิจิทัลของชาวจีนรายนี้กับคดีอื่นๆ ในระบบรับแจ้งความออนไลน์แล้ว จำนวน 63 เคสไอดี โดยเคสไอดีที่มีแผนประทุษกรรมคล้ายกันในลักษณะหลอกให้รักแล้วลงทุน โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารชื่อเดียวกัน หรือ เลขที่บัญชีเดียวกัน จำนวน 19 เคสไอดี รวมมูลค่าความเสียหาย 20,087,017 ล้านบาท
จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ Mrs.DI WU ก่อนนำกำลังลงพื้นที่จนพบว่า น.ส. DI WU ได้เดินทางเข้าออกประเทศไทยทางด้านสามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศ กัมพูชา ลาวและมาเลเซีย หลายครั้ง ความเคลื่อนไหวล่าสุดได้เดินทางมาจากกัมพูชาเข้ามาประเทศไทย จากนั้นได้ไปเช่าห้องพักพูลวิลล่าหรูแห่งหนึ่ง ในพื้นที่พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ก่อนนำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุม Mrs. DI WU ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1840/2568 ลงวันที่ 14 มี.ค. 68 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมกัน และ ร่วมกันฟอกเงิน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้น พบเอกสารเป็นหนังสือเดินทางที่ใช้ลงทะเบียนบัญชีกระเป๋าคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งใช้รับผลประโยชน์จากเงินผู้เสียหาย เมื่อตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์มือถือ พบภาพถ่ายในลักษณะการใช้ชีวิตหรูหราที่ประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการขับรถหรู การถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่แสดงให้เห็นว่ามีเงินสดจำนวนมาก รวมทั้งภาพการมั่วสุมเสพยาเสพติด
จากการสอบสวนเบื้องต้น Mrs. DI WU ยังให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าตนอาจจะโดนแฟนเก่านำข้อมูลของตนไปเปิดบัญชีคริปโตเคอเรนซี่ เพื่อใช้ในการฟอกเงินให้แก่กลุ่มมิจฉาชีพในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนที่เดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านบ่อยเนื่องจากตนไปขายสินค้าออนไลน์ ประเภทบัตรคอนเสิร์ต โดยตำรวจมีพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มัดตัวผู้ต้องหารายนี้แล้ว
ในส่วนผู้ต้องหาชาวไทยจำนวน 4 ราย ที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีม้าธนาคาร และบัญชีม้าคริปโตเคอเรนซี ดำเนินคดีเรียบร้อยแล้วจำนวน 3 ราย ส่วนอีก 1 ราย อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมโดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งขยายผลไปยังทรัพย์สินของผู้ต้องหา และผู้ร่วมขบวนการรายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป