ศาลอาญาคดีทุจริต พิพากษายกฟ้อง อดีตพนักงานการท่าเรือ 34 ราย พ้นผิดปมทุจริตเบิกเงินค่าทำงานในวันหยุด และเบิกความเท็จ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (18 มี.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท 150/2567 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายจงเด่น บุตรสุทธิวงศ์ อายุ 62 ปี อดีตพนักงานปากเรือ การท่าเรือแห่งประเทศไทย กับพวกเป็นจำเลยที่ 1-34 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารอันเป็นเท็จ และ เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
กรณีที่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย มอบอำนาจให้ นายโกมล ศรีบางพลีน้อย ผู้กล่าวหา ร้องทุกข์กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับนายจงเด่นกับพวกพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ถูกกล่าวหาว่า ทุจริตเบิกจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเพิ่มเติม เมื่อระหว่าง พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2555 และกล่าวหาว่า ร่วมกันจัดทำเอกสารใบเบิกเงิน เพื่อใช้เบิกเงินดังกล่าว ทั้งที่ไม่ได้ทำงานจริง และใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในการฟ้องการท่าเรือแห่งประเทศไทยต่อศาลแรงงานกลาง เพื่อเรียกร้องค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเพิ่มเติมในห้วงเวลา พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2555 ทั้งที่ไม่ได้ทำงานจริง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1-34 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าที่โจทก์มีพยานขึ้นเบิกความในทำนองเดียวกันว่า หากหัวหน้าหน่วยทำเรื่องเบิกเงินค่าทำงานล่วงเวลาก็สามารถเบิกได้ตามระเบียบ อีกทั้งการเบิกจ่ายก็ไม่พบการทุจริต เท่ากับว่าผู้บังคับบัญชาสามารถขอเบิกเงินล่วงเวลาได้ตามระเบียบ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่ระบุว่า จำเลยไม่มาทำงาน นั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1-34 ไม่มาปฏิบัติงาน การเบิกเงินทำงานล่วงเวลาเป็นไปตามระเบียบ จำเลยทั้งหมดจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
ส่วนในความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น เอกสารที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ยื่นต่อศาลแรงงานกลาง เป็นเอกสารชุดเดียวกับที่จำเลยนำมาใช้เป็นหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง เท่ากับว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทย ยอมรับความถูกต้องในเรื่องการเบิกเงินค่าทำงานในวันหยุด การเบิกความของจำเลยที่ 1-21 จึงไม่ใช่การเบิกความเท็จและจำเลยอื่นก็ไม่ได้กระทำผิด พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จ
เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 34 คนส่งเสียงปรบมือด้วยความดีใจ ซึ่งจำเลยส่วนใหญ่อยู่ในวัยเกษียณ จากนั้นทั้งหมดได้ลงลายมือชื่อและทำเรื่องขอเบิกหลักประกันขอปล่อยชั่วคราวคืนจากทางศาล
นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความกล่าวว่า วันนี้จำเลยทั้ง 34 คน เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา โดยสรุปพนักงานทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้อหาที่กล่าวอ้างว่ากระทำผิด ม.157 เบิกความเท็จ ใช้เอกสารเท็จไปฟ้องเรียกเงินเพิ่มเติมที่ศาลแรงงานทุก อย่างศาลเห็นว่า ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเอาผิดจำเลยทั้งหมด จึงพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ศาลเห็นว่าการเบิกจ่ายกับการท่าเรือไปตามปกติ ศาลเห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต วันนี้จากคำพิพากษาศาลเป็นบทพิสูจน์ว่าการท่าเรือคุณได้กลั่นแกล้งพวกเขาหรือไม่ เมื่อผลออกมาแบบนี้ทำไมไม่คิดที่จะเยียวยาพวกเขาจะต้องให้ไปร้องเรียนร้องทุกข์กับหน่วยงานใดอีก
นายจงเด่น ตัวแทนพนักงานที่ตกเป็นผู้ต้องหากล่าวว่าตนต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมกับพวกเรา รวมทั้งทีมทนายและทนายกฤษฎาที่ช่วย เหลือพวกเรา ให้ได้รับคืนความสุขกลับคืนมาสู่ครอบครัวของพวกเราที่ขาดหายไปหลายปีความทุกข์ยากที่เราอดทนกันมา วันนี้เอเห็นว่าพวกเราได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา
ตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมาพวกเราตก เป็นผู้ต้องหาส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจเกิดความเครียดคนในครอบครัวก็ไม่เป็นสุขเพราะเป็นห่วงพวกเราวันนี้เมื่อได้รับฟังข่าวพิพากษาแล้วก็รู้สึกดีใจที่ได้รับความยุติธรรมและจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
ด้านนายบุญช่วย หรือ บัง ยี่สุ่นแย้มกลิ่น พนักงานการท่าเรือฯ 1 ใน 34 คน ที่ตกเป็นผู้ต้องหา เปิดใจว่า ตนถูก ดีเอสไอ ทำคดีว่าทุจริตเงินค่าล่วงเวลา จำนวน 123.69 บาท มาเป็นเวลา 8 ปี ซึ่งตนได้เบิกตามระเบียบของการท่าเรือฯ แต่กลับถูกฟ้องเป็นจำเลย วันนี้ศาลได้ตัดสินแล้วว่าเราไม่ได้มีความผิดไม่อยากจะพูดอะไรมากไม่มีอะไรที่จะฝากไปถึงการท่าเรือแห่งประเทศไทย
อดีตพนักงานท่าเรือฯ อีกราย กล่าวว่า ตนจะสามารถเรียกเงินค่าเสียหายในระหว่างที่ถูกดำเนินคดีต้องเสียเวลาทั้งที่ยังต้องทำงานอยู่ต้องเดินทางมาที่ศาลและอัยการหลายหลายครั้งในระยะเวลาสองปีค่าใช้จ่ายต้องเสียลูกเมียก็เดือดร้อนใครจะเยียวยาให้กับตนได้
สำหรับมูลเหตุของคดี เมื่อปี พ.ศ. 2557 ผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)ได้มอบอำนาจให้ นายโกมล ศรีบางพลีน้อย ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายจงเด่น บุตรสุทธิวงศ์ กับพวก และพนักงาน กทท. คนอื่น ๆ รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง กล่าวหาว่าทุจริตเบิกจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเพิ่มเติม ในช่วงปี พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2555 ทำให้รัฐเสียหาย 3,300 ล้านบาท
คณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติรับเป็นคดีพิเศษในปี พ.ศ. 2556 สืบสวนสอบสวนมายาวนานจน มีนาคม พ.ศ. 2566 ร.ต.อ. สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 37/2561 ให้กับพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 34 ราย จากผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 560 ราย โดยผู้ต้องหา 3 รายที่ไม่ถูกสั่งฟ้องเนื่องจากเสียชีวิต จำนวนเอกสารในคดีนี้มีทั้งหมด 72 แฟ้ม 33,377 แผ่น คดีทุจริตเงินค่าล่วงเวลาของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นคดีที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง มีประเด็นสำคัญที่ควรทราบ การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำการสอบสวนคดีนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 โดยมีการกล่าวหาว่าพนักงานจำนวนมากโกงค่าล่วงเวลา
สุดท้าย ดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้อัยการเพื่อฟ้องร้องพนักงานเพียง 34 คน จากจำนวนประมาณ 560 คน โดย ดีเอสไอได้ยุติการฟ้องร้องคดีดังกล่าว โดยมีข้อสรุปว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว และไม่มีการกล่าวหาผู้ใดอีกต่อไป
การเรียกร้องค่าเสียหาย กลุ่มพนักงานการท่าเรือที่ถูกกล่าวหาแต่ไม่ถูกฟ้องร้องจำนวนหนึ่ง ได้ออกมาเรียกร้องค่าเสียหายจาก กทท. เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการถูกกล่าวหา ประเด็นที่น่าสนใจ ความโปร่งใสในการตรวจสอบและดำเนินคดีนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบและดำเนินคดีอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการยุติคดีโดยไม่ฟ้องร้องนั้น ส่งผลกระทบจากการถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ