xs
xsm
sm
md
lg

สว.สำรอง ให้กำลังใจ “รมว.ยุติธรรม-ดีเอสไอ” ทำคดีฟอกเงิน พร้อมเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - กลุ่ม “สว.สำรอง” เดินทางมาให้กำลังใจ “รมว.ยุติธรรม-ดีเอสไอ” หลังแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ฐานสมคบกันฟอกเงิน มั่นใจเจ้าหน้าที่ชุดทำงาน

วันนี้ (12 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง พร้อมด้วยเพื่อนสมาชิก สว.สำรอง เดินทางมาให้กำลังใจ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทั้ง 41 รายชื่อ รวมถึงให้กำลังใจ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ภายหลังถูก กลุ่ม สว. ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ ในความผิดฟอกเงิน โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง

พล.ต.ท.คำรบ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักคือมาให้กำลังใจกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ทราบว่าวันนี้ทางผู้บริหารของกรมฯ และกระทรวงฯ ไปประชุมผู้บริหารระดับสูงนอกสถานที่ ตนจึงขอโอกาสนี้ได้มอบช่อดอกไม้และกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และที่ผ่านมา ยังได้ปรากฏกลุ่มคนที่สร้างกระแส เราจึงต้องมาให้กำลังใจทุกท่าน เพื่อทำเรื่องนี้ต่อไปได้อย่างมั่นคง มุ่งมั่นให้ความจริงปรากฏ เพื่อประชาชน และเพื่อประเทศชาติ และพร้อมจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ดีเอสไอ

พล.ต.ท.คำรบ เผยอีกว่า สำหรับคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษของอธิบดีดีเอสไอ ที่ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอถึง 41 ราย มาเป็นพนักงานสอบสวนในคดีฮั้ว สว.67 นั้น เท่าที่ตนเห็นรายชื่อตนมั่นใจ เพราะส่วนหนึ่งในรายชื่อตามที่ปรากฏนั้น ตอนที่เป็นเรื่องสืบสวน ตนก็ได้มีโอกาสทำงานและได้นำข้อมูลไปให้ทางเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ได้ดำเนินการสืบสวนจนปะติดปะต่อเรื่องมาถึงขั้นตอนนี้ได้

พล.ต.ท.คำรบ เผยต่อว่า ส่วนกรณีที่จะต้องมีพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอด้วยนั้น เรื่องนี้ยิ่งทำให้เรามั่นใจ เพราะอย่างน้อยพนักงานอัยการเมื่อมาร่วมสอบสวน พนักงานอัยการก็จะสามารถชี้แนะในแง่มุมกฎหมาย ยิ่งทำให้สำนวนมีความรัดกุมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น โอกาสที่สำนวนเมื่อพ้นจากชั้นสอบสวน ก็จะเข้าสู่ชั้นอัยการ โอกาสที่จะถูกสอบสวนเพิ่มเติมหรือสั่งเพิ่มเติมหรือถูกสั่งไม่ฟ้องน่าจะน้อยลงมากๆ

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่มีสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนได้รวบรวมรายชื่อไปยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาในความผิดมาตรา 157 ต่อ รมว.ยุติธรรม และ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นั้น ในเรื่องดังกล่าวตนยังได้ทบทวนอยู่ว่าที่ท่านไปร้อง ไปร้องในฐานะอะไร เพราะถ้าถามว่าท่านไปในฐานะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ในบัญญัติเกี่ยวกับจริยธรรมของนักการเมือง 10 ข้อ ท่านใช้สถานะไปก้าวก่ายฝ่ายบริหารหรือไม่ แทรกแซงทำให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ และการที่ท่านไปกล่าวว่าเขาอย่างนั้นเป็นการที่ท่านไปบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงที่ทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ แต่ขณะเดียวกันมองว่าหรือท่านไปยื่นในฐานะที่เป็นผู้เสียหาย เพราะถ้ายื่นเป็นผู้เสียหาย คดีนี้ดีเอสไอเพิ่งรับเป็นคดีพิเศษ แต่ก็ยังไม่ได้มีการตั้งข้อกล่าวหาผู้ใด แบบนี้จะถือเป็นการร้อนตัวไปก่อนหรือไม่

"ดังนั้น การที่ท่านแสดงออกเช่นนี้ จึงมีความรู้สึกว่ามันยังไม่ชัดเจนว่าท่านแสดงออกในฐานะใด แต่คิดว่าในวันข้างหน้าอาจจะมีบางคนไปยื่นตรวจสอบจริยธรรมของท่านบ้างก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าทางดีเอสไอคงไม่ลำบากใจ เพราะว่าเขาได้ทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และทำบนพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ตนฝากข้อห่วงใยไปยังกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่ได้ไปยื่นเรื่องว่าท่านกำลังสุ่มเสี่ยงในเรื่องจริยธรรมหรือไม่"

เมื่อถามว่านับตั้งแต่ที่กลุ่มคณะ สว.สำรอง ได้มีการมายื่นเรื่อง หรือมอบข้อมูล รายละเอียดเอกสารพยานต่าง ๆ กับดีเอสไอ ได้ถูกสายโทรศัพท์โทรข่มขู่ หรือขอให้ยุติการดำเนินการบ้างหรือไม่ พล.ต.ท.คำรบ ระบุว่า คงไม่ได้หรอกเพราะว่าการที่พวกตนมาดำเนินการอยู่ในตอนนี้ ก็เพื่อประเทศชาติเป็นหลัก จริงอยู่ที่ว่าพวกตนเป็น สว.สำรอง อาจจะมีส่วนได้เสียจากการเคลื่อนไหวและเรียกร้องในครั้งนี้ ซึ่งพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นการกินบ้านกินเมือง เป็นการปล้นชาติปล้นแผ่นดิน เมื่อเห็นถึงขบวนการเหล่านี้ ตนคิดว่าจะไม่หยุด อย่างน้อยตัวเองก็เป็นข้าราชการตำรวจเกษียณแล้วยังเหลือเวลาอีกไม่มาก จะต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิต

ส่วนเรื่องเอกสารรายชื่อพยาน 7,000 รายชื่อที่มีหลุดออกมา ซึ่งอยู่ในกลุ่มพยานที่ดีเอสไอจะต้องเรียกสอบสวนปากคำนั้น พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า เท่าที่ได้ดูก็รู้จักบางคน ทางดีเอสไอคงจะตรวจสอบ จากข้อมูลที่มีพบว่ากระบวนการเหล่านี้จะมาเคลื่อนไหวหรือติดต่อสัมพันธ์กันในช่วงวันที่ 23-25 พ.ค.67 โดยเริ่มต้นจากระดับอำเภอ ตั้งแต่มีการสมัครในช่วงเดือน พ.ค.67 ความผิดเริ่มปรากฎในช่วงนั้น การสมัครระดับอำเภอ มีเงินทอน เงินจ้าง ค่ารถ ฯลฯ ซึ่งบุคคลที่มีรายชื่อปรากฏต้องไปสำรวจตัวเองว่ามีรายการค่าใช้จ่ายอย่างไร จะได้ชี้แจงได้ หากมีการเรียกมาให้การ

ส่วนประเด็นการยื่นหนังสือของ นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อต้องการให้การเลือก สว. เป็นโมฆะทั้งชุดตัวจริงและ สว.สำรอง นั้น พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า มองว่าโอกาสที่จะเป็นโมฆะ ไม่น่าจะมีโอกาสมากนัก เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า หากเกิดความผิดใดปรากฏกับบุคคลใดก็จัดการคนนั้นไป และผลของการกระทำของบุคคลดังกล่าวไม่ส่งผลต่ออดีตที่ทำมา ตามข้อเท็จจริงมี สว.ตัวจริง 200 คน มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่ในข่าย 130-140 คน ส่วนที่เหลือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากจะต้องล้มหรือโมฆะคงไม่เป็นธรรมที่จะให้เขามารับผลในส่วนนี้ด้วย ใครผิดก็จะต้องจัดการคนนั้นไป และกฎหมายเรื่องเลือกตั้งได้เขียนไว้ชัดเจนว่าหากจัดการไปแล้วให้นำ สว.สำรอง ขึ้นมาแทน หากรวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งก็ให้ไปเลือกซ่อมส่วนที่เหลือ กฎหมายเขียนไว้แล้ว มีช่องทางเดินก็ให้เดินตามช่อง จึงมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโมฆะ


กำลังโหลดความคิดเห็น