เปิดใจพ่อแม่น้ำตาคลอ! เคลียร์ดรามาทองปลอมคดีพลิก ลูกชายสารภาพสลับทองไปขายใช้หนี้หลังเห็นข่าว กล่าวขอโทษพ่อแม่
จากกรณี นายรุ่งโรจน์ อายุ 66 ปี และ น.ส.ละออง อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน หลังพบว่าสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ซึ่งซื้อจากร้านทองภายในห้างสรรพสินค้าย่านรัตนาธิเบศร์เมื่อปลายปี 2566 เป็นทองปลอม ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากก่อนหน้านี้
วันนี้( 24 ก.พ.)เมื่อช่วง 13.00 น. ที่ผ่านมา “ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ” ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า หลังจากรับทราบเรื่อง ทางร้านได้ติดต่อกับลูกค้าเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าสร้อยคอทองคำที่ถูกกล่าวหาเป็นของปลอมนั้น ถูกสับเปลี่ยนโดยลูกชายของเจ้าของสร้อยเอง ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว โดยเจ้าของสร้อยตัวจริงได้แจ้งข้อเท็จจริงนี้ให้ทางร้านทราบแล้ว ไม่มีการติดใจเอาความ เป็นอันตกลงกันด้วยดี
ทางร้านทองยืนยันว่า ลูกค้าไม่ติดใจเอาความ และได้ทำความเข้าใจร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ “ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ” ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานสินค้าและบริการที่เป็นธรรมแก่ลูกค้า พร้อมขอบคุณลูกค้าสำหรับความร่วมมือในการให้ข้อมูลจนทำให้เกิดความกระจ่างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบนายรุ่งโรจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี และนางสาวละออง (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา หลังจากทาง “ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ” ได้ออกแถลงการณ์ ทำให้ชาวเน็ตต่างแห่เข้ามาแสดงความคิดเห็น เช่น “ทำร้านเขาเสียหาย” “ลูกฉันเป็นคนดี” “ร้านควรฟ้อง” จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
นายรุ่งโรจน์และนางสาวละออง กล่าวชี้แจงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 ซึ่งเป็นวันที่ตนได้เดินทางนำสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 2 บาทมาตรวจสอบ เนื่องจากใช้น้ำยาล้างจานแล้วพบว่าทองลอก ทำให้กังวลคิดว่าเป็นของปลอม จึงเดินทางไปที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตำรวจก็แนะนำให้ไปคุยกับร้านทองที่ซื้อมา จากนั้นหลังพบตำรวจเสร็จ ได้เดินทางไปร้านทองดังกล่าวที่ห้างย่านรัตนาธิเบศร์ นำสร้อยคอพร้อมตลับทอง และใบเสร็จการซื้อให้ร้านตรวจสอบ ปรากฏว่าทางร้านแจ้งว่าน้ำหนักทองไม่ตรงกับใบเสร็จ และสร้อยคอไม่มีตราปั๊มของห้าง โดยน้ำหนักในใบเสร็จอยู่ที่ 30.40 กรัม แต่พนักงานร้านชั่งทองได้น้ำหนัก 40.50 กรัม ซึ่งตอนนั้นก็คิดได้แล้วว่าต้องเป็นของปลอม ตนจึงแจ้งทางร้านว่าจะแจ้งความ แต่ทางร้านก็ตอบกลับมาว่าทางร้านก็สามารถแจ้งกลับได้ ก่อนที่พนักงานจะแนะนำให้ตนลองพิจารณาดูก่อนว่าเป็นคนในบ้านหรือไม่
หลังจากได้ยินคำนี้ ตนจึงหยิบมือถือโทรหาลูกชายทันทีเพื่อถามว่าได้เอาทองไปเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งลูกชายได้ปฏิเสธ ตนจึงเดินทางกลับบ้านไปนั่งคิดทบทวน ตอนนั้นตนและสามีเครียดมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ แจ้งความก็ไม่มีหลักฐานจะไปเอาผิดใคร สามีตนได้แต่สวดมนต์ภาวนาต่อหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ที่ห้อยอยู่บนคอ โดยอธิษฐานว่า “ขอให้โจรกลับใจ”
แต่ในช่วงเช้าของวันนี้ ข่าวได้ถูกนำเสนอบนสื่อโซเชียลหลายช่องทาง หลังจากที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่เดินทางมาโรงพัก ปรากฏว่าเวลาประมาณ 09.00 น. ลูกชายได้ไลน์มาหาตนว่า “ผมเห็นข่าวแม่ด้วย” จากนั้นก็ค่อยๆ รับสารภาพว่าเป็นคนนำทองไปเปลี่ยนแล้วเอาไปขาย โดยนำเงินที่ขายทองได้ไปใช้หนี้ จากนั้นลูกชายก็พิมพ์ข้อความขอโทษตนว่า “ผมผิดไปแล้วแม่ ขอโทษแม่มากๆ เลยครับ แม่ไม่ต้องไปแจ้งความแล้ว” พร้อมแจ้งยอดค่าสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 2 บาท เป็นจำนวนเงิน 99,500 บาท และยอดหนี้ที่เคยติดค้างแม่อยู่อีก 81,300 บาท หลังจากลูกชายรับสารภาพ ด้วยความเป็นพ่อและแม่ ตนก็ให้อภัยลูก และพูดคุยกันแล้วว่าลูกชายจะชดใช้เงินตามยอดที่คุยไว้
ตนและสามีไม่มีเจตนาที่จะทำให้ร้านทองเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด หลังจากทราบเรื่องจริง ก็ได้มีการพูดคุยกับห้างทองและตกลงกันได้ด้วยดี ตนได้ชี้แจงเรื่องราวให้ทางร้านฟังทั้งหมด ซึ่งห้างทองนี้ตนก็ถือว่าเป็นลูกค้าประจำ ซื้อสร้อยคอทองคำมาแล้วประมาณ 3 เส้น แต่อยากให้สังคมลองคิดกลับกัน หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเองจะรู้สึกอย่างไร เพราะจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ และมันก็เป็นทองปลอมอีกด้วย ส่วนระยะเวลาที่ลูกชายได้สลับเปลี่ยนทอง ตนไม่แน่ใจ เพราะลูกชายไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน และจะมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว สร้อยคอเส้นนี้สามีตนจะแขวนไว้ที่หิ้งพระ ลูกชายหยิบไปใส่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่สร้อยเส้นนี้มีความหมาย เพราะตนเป็นคนซื้อให้ภรรยา และไม่คิดว่าคนใกล้ตัวมากๆ จะทำแบบนี้ ตอนนี้ตนและสามีก็รู้สึกเสียใจมาก และอยากกล่าวขอโทษทุกคนทุกฝ่ายหากไม่สบายใจกับเรื่องนี้