ผบช.ไซเบอร์แถลงผลจับกุมผู้ต้องหาก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี 7 ราย หลังรัฐบาลไทยกดดันเพื่อนบ้าน จนผลักดันแก๊งคอลออกนอกพื้นที่
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว “วันหยุดแต่ ตร.ไซเบอร์ไม่หยุด ลุยล่าโจรไซเบอร์ หลังรัฐบาลไทยกดดันเพื่อนบ้าน จนผลักดันแก๊งคอลออกนอกพื้นที่” โดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. สั่งการให้แก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลังสถานการณ์ที่ประเทศไทยได้กดดันประเทศเพื่อนบ้านตามมาตรการของรัฐบาล เพื่อให้เร่งแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ส่งผลให้เกิดการผลักดันผู้กระทำผิดกลับมายังประเทศไทย โดยช่วงวันที่ 15-16 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางบช.สอท.ได้เร่งกวาดล้าง จับกุมผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทั้งเครือข่ายฉ้อโกงประชาชน หลอกลวงให้ลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Currency) รวมถึงบัญชีม้า การฟอกเงิน และการกระทำผิดอื่นๆ
โดยคดีแรก กก.1 บก.สอท.1 ร่วมกันจับกุม นายพรชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี บริเวณริมถนนซอยวัดอัมพวา แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กทม. ตามหมายจับศาลจังหวัดนครราชสีมา ที่ จ.99/2568 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 68 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นอันเป็นปกติธุระ ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทั้งหมดหรือบางส่วนโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนร่วมกันสนับสนุนหรือสมคบตั้งแต่สองคนกระทำความผิดฟอกเงิน” โดยผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายหลอกลงทุนทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งได้ใช้เฟซบุ๊กปลอมที่ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นผู้หญิงหน้าตาดี อ้างตัวเองว่าเป็นนักลงทุนซื้อขายเหรียญดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม “STREANING SERVICE” จากนั้นชักชวนผู้เสียหายโอนเงินลงทุน สุดท้ายสูญเงินไป 509,163 บาท โดยสามารถออกหมายจับผู้หาในเครือข่ายได้แล้ว 7 ราย เป็นชาวมาเลเซีย 4 ราย และคนไทย 3 ราย ซึ่งเครือข่ายนี้สร้างมูลค่าความเสียหายไปแล้ว จำนวน 3,673,144 บาท
คดีที่สอง กก. 3 บก.สอท.2 ร่วมกันจับกุม นายฐานัส (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี บริเวณวัดกกม่วง หมู่ 7 ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ตามหมายจับของศาลจังหวัดนนทบุรีที่ 249/2568 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 68 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นผู้อื่น และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูล คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาเพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้หมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน”
คดีที่สาม กก.1 บก.สอท.3 ร่วมกันจับกุม นายอนุชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี บริเวณบ้านพัก ในพื้นที่ ม.7 ต.บะยาว อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี ตามหมายจับ ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่จ.201/2567 ลงวันที่ 9 เมษายน 67 ในข้อหา “ร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ฐานเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานผู้ใดเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากของตนโดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือใช้ในกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”
คดีที่สี่ กก.1 บก.สอท.4 ร่วมกันจับกุม นายอมรเทพ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ได้ที่บ้านพักในพื้นที่ ม.1 ต.ปะอาว อ.เมือง อุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่จ.123/2568 ลงวันที่ 16 มกราคม 68 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
และร่วมกันจับกุม น.ส.กชพร (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ได้บริเวณร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ม.4 ต.เขื่องใน อ.เขื่องในจ.อุบลราชธานี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ 160/2568 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 68 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้เจตนาเพื่อตน หรือกิจการที่ตนโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี”
คดีที่ห้า กก.4 บก.สอท.4 ร่วมกันจับกุม MS.SOUDAVANH อายุ 35 ปี สัญชาติลาว บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (บ้านสบรวก) ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 164/2568 ลง 13 มกราคม 2568 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชาชน, ร่วมกันโดยทุจริต หรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
และ คดีที่หก กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.4 ร่วมกันจับกุม นายทศพล (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ จ.1266/2567 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 67 ในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” โดยเป็นผู้ต้องหาในขบวนการหลอกให้ลงทุนซื้อขายเหรียญดิจิทัล ซื้อเหรียญ USDT ในแพลตฟอร์มของ CIEX สร้างมูลค่าความเสียหายกว่า 390,000 บาท นอกจากนี้ยังพบว่า นายทศพล ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 5 หมายจับ ทั้งในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี จ.เชียงใหม่ จ.แพร่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.สุราษฎร์ธานี
อย่างไรก็ตามตลอดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 7 ราย พร้อมตรวจยึดหลักฐานสำคัญ รวมถึงบัญชีม้า และข้อมูลเชื่อมโยงเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลเพื่อสืบสวนถึงกลุ่มนายทุน ผู้บงการ รวมทั้งแพลตฟอร์มที่ใช้หลอกลวงมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป