xs
xsm
sm
md
lg

จับ "หม่อง ชิตตู่" ขั้นตอนอีกยาว อัยการแนะดีเอสไอสอบหาหลักฐานให้รัดกุม เผยต้องประสานอินเตอร์โพล ให้ศาลประเทศปลายทางตัดสินก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



อัยการคดีค้ามนุษย์ เบรกดีเอสไอขอหมายจับ "หม่อง ชิตตู่" ผู้นำกะเหรี่ง BGF และพวก ในคดีค้ามนุษย์ เเนะสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมรัดกุมก่อน เผยขั้นตอนอีกยาว ต้องประสานอินเตอร์โพลขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ต้องให้ศาลประเทศปลายทางพิจารณาและเปิดโอกาสให้อุทธณ์ อาจต้องให้ฝ่ายบริหารของประเทศนั้นกลั่นกรองอีก แฉคนไทยส่อมีเอี่ยว 2 ราย ทำหน้าที่ส่งคนป้อนแก๊งคอลเซนเตอร์

วันนี้ (12 ก.พ.) จากกรณีที่ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยคณะทำงานได้เข้าหารือกับ นายศักดา คล้ายร่มไทร อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 เพื่อหารือกรณีที่จะยื่นคำร้องขอออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งคาดว่าประกอบด้วย พ.อ.หม่องชิตตู , พ.ท.โมเต โธน และ พ.ต.ทิน วิน ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชาย(BGF) ซึ่งครองอำนาจในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่า ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซนเตอร์

มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 11 ก.พ.2568 พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นอัยการร่วมสอบสวนในคดีนอกราชอาณาจักร ได้หารือเบื้องต้นพบว่า พยานหลักฐานน่ายังไม่เพียงพอที่จะให้ศาลออกหมายได้ จึงเห็นควรให้ดีเอสไอไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้รอบคอบรัดกุม ก่อนนำมาพิจารณาที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับต่อไป

สำหรับพฤติการณ์ที่ดีเอสไอนำเข้าหารือกับพนักงานอัยการในเรื่องขออกหมายจับนั้น เนื่องด้วยเป็นกรณีที่กลุ่มผู้ต้องหามีการนำชาวอินเดียไปทำการค้ามนุษย์และบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง เมืองเมียวดี ประเทศเมียนม่า ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ประเทศไทย แต่ทางการไทยสามารถช่วยกลับมาได้ 7 ราย โดยพบว่าทั้ง 7 รายมีลักษณะพฤติการณ์ถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน คล้ายคลึงกับกรณีซิงซิง นักแสดงชาวจีนที่ถูกหลอกและทางการไทยสามารถช่วยเหลือได้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินคดีขบวนการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับใครบ้าง

นอกจากนี้ มีรายงานว่า คดีนี้อาจจะมีชาวไทยเกี่ยวข้องประมาณ 2 ราย มีบทบาทเป็นกรรมการบริษัทและพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้บริการจัดทำรีสอร์ตทั้งในไทยและในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนม่า โดยเกี่ยวขัองกับขบวนการนำส่งคนไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์


แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า กรณีเรื่องการขอออกหมายจับเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องพร้อมเอกสารพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณาออกหมายจับ ซึ่งเมื่อได้ออกหมายจับเเล้วพนักงานสอบสวนก็จะสามารถปฏิบัติตามหมายได้ ในกรณีที่ตัวผู้ต้องหาตามหมายจับหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ทางพนักงานสอบสวนผู้ร้องขอออกหมายจับจะมีการประสานขอออกหมายเเดง (อินเตอร์โพล) กับชาติสมาชิกอินเตอร์โพลทั้ง 194 ประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ที่จะขึ้นในประเทศสมาชิก เมื่อข้อมูลการออกหมายเเดงกระจายไปยังประเทศสมาชิก เเละพบว่าผู้ที่ถูกออกหมายจับนั้นพำนักอยู่ในประเทศนั้น ตำรวจในประเทศปลายทางก็จะตามจับกุมตัว ในกรณีที่มีการจับกุมตัวได้ทางประเทศปลายทางก็จะมีการกุมตัวไว้ตามหมายจับชั่วคราวและแจ้งประเทศต้นทางที่เป็นสมาชิกให้ทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายเเดนส่งมา โดยการเเจ้งจะเเจ้งผ่านอินเตอร์โพล ซึ่งเมื่อได้รับเเจ้งจากอินเตอร์โพลก็จะทำเรื่องมายังอัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตั้งแต่แรกเริ่มทุกขั้นตอนจะส่งผ่านอัยการสูงสุดเพื่อทราบว่าบุคคลตามหมายจับถูกกุมตัวเเละพำนักในประเทศใด

เมื่อได้รับทราบพิกัด หรือควบคุมตัวเเล้วทางอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ประสานงานกลางในการทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายข้ามเเดนไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอตัวผู้ร้ายข้ามเเดนตามหมายจับมาดำเนินคดีในไทย

โดยหลักเกณฑ์ในการขอผู้ร้ายข้ามเเดนคร่าวๆ ก็จะมีรายละเอียดเช่น เป็นคดีอาญามีโทษร้ายเเรง เป็นคดีอาญาที่เป็นความผิดของทั้งสองประเทศ เเละไม่เป็นคดีทางการเมือง หรือศาสนา

การขอส่งผู้ร้ายข้ามเเดนจะมีการขอได้ 2 เเบบคือกรณีมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามเเดนจะพิจารณาจากการมีสนธิสัญญาที่ทำร่วมกันระหว่างประเทศ เเละ 2 กรณีที่ไม่มีสนธิสัญญาก็จะมีหลักสัญญาต่างตอบเเทนโดยการทำคำมั่นสัญญาว่าหากส่งตัวผู้ร้ายข้ามเเดนมายังประเทศต้นทางในครั้งหน้าก็จะดำเนินการต่างตอบเเทนเช่นเดียวกัน การร้องขอให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน มิใช่ว่าจะได้รับความร่วมมือทุกครั้งไป แล้วแต่ประเทศปลายทางจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้ศาลในประเทศนั้นเป็นผู้พิจารณาคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามเเดน เเละจะมีการเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์คำพิพากษาได้ ตรงนี้เเต่ละประเทศก็จะมีขั้นตอนระยะเวลาอยู่ 


อย่างไรก็ตามในบางประเทศการจะส่งผู้ร้ายข้ามเเดนเเม้ศาลจะอนุญาตเเล้วก็ยังต้องได้รับอำนาจกลั่นกรองโดยฝ่ายบริหาร หรือที่เรียกว่า executive review ที่ฝ่ายบริหารอาจจะต้องมาพิจารณาที่ผ่านมา เคยมีกรณีที่ศาลอนุมัติเเล้วแต่ฝ่ายบริหารประเมิณเเล้วมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพิจารณาเเล้วไม่ส่งก็มี เช่นเป็นกรณีที่บางทีผู้ร้ายเป็นที่ต้องการขอตัวของหลายประเทศหากส่งไปให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเเล้วจะกระทบความสัมพันธ์ได้

คดีดังกล่าวที่มีการปรึกษาในเรื่องการขอออกหมายจับมีรายงานว่า เป็นคดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ชาวอินเดีย เมื่อปี 2565 สำหรับพฤติการณ์ที่ดีเอสไอจะนำหารือกับพนักงานอัยการนั้น เนื่องด้วยเป็นกรณีที่กลุ่มผู้ต้องหามีการนำชาวอินเดียไปทำการค้ามนุษย์และบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ประเทศไทย แต่ทางการไทยสามารถช่วยกลับมาได้ 7 ราย โดยพบว่าทั้ง 7 รายมีลักษณะพฤติการณ์ถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน คล้ายคลึงกับกรณีซิง ซิง นักแสดงชาวจีนที่ถูกหลอกและทางการไทยสามารถช่วยเหลือได้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินคดีขบวนการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับใครบ้าง

ก่อนหน้านี้มีรายงานจากดีเอสไอ ว่า คดีนี้อาจจะมีชาวไทยเกี่ยวข้องประมาณ 2 ราย มีบทบาทเป็นกรรมการบริษัทและพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้บริการจัดทำรีสอร์ตทั้งในไทยและในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนม่า โดยเกี่ยวขัองกับขบวนการนำส่งคนไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์

ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ศาลออกหมายจับได้นั้นอยู่ที่ “พยานหลักฐาน” ที่ทำให้ศาลเชื่อได้ว่าน่าจะมีการกระทำผิด

รายงานข่าวยังระบุว่าสำหรับคดีหากมีการดำเนินคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ที่กฎหมายให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือมีอำนาจตั้งพนักงานสอบสวน ซึ่งโดยปกติเมื่อมีการตั้งพนักงานสอบสวนเเล้วอัยการสูงสุดก็จะตั้งพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวนมาร่วมสอบสวน เเต่ที่ผ่านมากจะพบว่าเมื่อเป็นคดีนอกราชอาณาจักรเเละเป็นความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ อัยการสูงสุดจะให้พนักงานอัยการจากสำนักงานคดีค้ามนุษย์ร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน เพื่อให้คดีเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลายฝ่ายก็มองว่าอาจขัดกับหลักการถ่วงดุลตรวจสอบ เพราะจะกลายเป็นสอบสวนเเละสั่งคดีเองในสำนักงานเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น