MGR Online-กรณีศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษายกฟ้อง "ตู้ห่าว" กับอดีตเมียนายตำรวจหญิง พร้อมพวกรวม 19 คนทุกข้อกล่าวหาทั้งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และฟอกเงิน ต้องปล่อยตัวออกจากเรือนจำทันที หลังถูกตำรวจนครบาลจับกุมดำเนินคดีข้อหาเปิดผับ "จินหลิง" ย่านสาทร ให้ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้าไปมั่วยาเสพติด ส่วนลูกน้อง 6 คนโดนลงโทษข้อหายาเสพติด ติดคุกระหว่าง 21 ปี 4 เดือน ถึง 28 ปี 12 เดือน ปรับคนละ 1,706,666 ถึง 2,600,000 บาท
คดีนี้ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 เวลา 03.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.(ขณะนั้น) พล.ต.ต.นิติธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น.(ขณะนั้น) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.(ขณะนั้น) พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6 (ขณะนั้น)เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น.เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจค้นอาคารจินหลิง อาคาร LEELA เลขที่ 60-60/1 ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ หลังพบลักลอบเปิดสถานบันเทิง และค้ายาเสพติด
สถานที่ดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ รั้วรอบขอบชิด ด้านหน้าเปิดเป็นคาร์แคร์ชื่อ WIB WUB CAR WASH มีประตูเหล็ก พร้อมกล้องวงจรปิดดูความเคลื่อนไหวภายนอก เมื่อเปิดเข้าไปพบประตูเหล็กอีกชั้นปิดล็อกแน่นหนา เปิดเข้าไปพบอาคารชั้นเดียวมีชื่อภาษาจีนและภาษาไทยชื่อ "จินหลิง" และอาคาร LEELA รอบอาคารเป็นลานจอดรถ มีรถหรูหลายยี่ห้อจอดเรียงกันกว่า 30 คัน อาทิ โรลส์-รอยซ์ ปอร์เช่ เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู โตโยต้าอัลพาร์ด ส่วนในอาคารแบ่งเป็นห้องคาราโอเกะเกือบ 20 ห้อง ประดับไฟแสงสีและจอแอลอีดีบริเวณทางเดินคล้ายอยู่ในยานอวกาศ ค่าตกแต่งห้องละกว่า 10 ล้านบาท แต่ละห้องพบนักเที่ยวทั้งชายและหญิงจำนวนมากส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ยาเสพติดพร้อมอุปกรณ์การเสพเกลื่อนห้อง อีกทั้งยังพบห้องเก็บของที่ใช้สำหรับเก็บยาเสพติดชนิดเคตามีน แฮปปี้วอเตอร์ หลายร้อยซอง ขณะเข้าตรวจค้น คนดูแลห้องพยายามทำลายหลักฐานแต่ไม่หมดเพราะมีจำนวนมาก
ตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า สถานที่แห่งนี้เปิดเป็นสถานบริการ ร้านคาราโอเกะ ให้บริการกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้แก่ลูกค้า จัดสถานที่ให้มั่วสุมยาเสพติดและให้บริการรับฝากยาเสพติดที่ใช้เสพไม่หมด จัดให้มีการเล่นพนันกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อเจ้าหน้าที่และกฎหมาย ตำรวจได้ขอหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 283/2565 ลงวันที่ 25 ต.ค.65 เข้าตรวจสอบ นำกำลัง 100 กว่านายปิดล้อมตรวจค้น ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวและพนักงานวิ่งหลบหนีไปซุกซ่อนตามจุดต่างๆ ในอาคาร เบื้องต้นพบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีน 200 กว่าคน นอกจากนี้ ยังพบพนักงานชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกเกือบ 30 คน นำตัวทั้งหมดไปดำเนินคดีที่ สน.ยานนาวา
ตรวจสอบพบว่ามีการจำหน่ายยาเสพติดในราคาซองละ 10,000 บาท ยึดรถหรูกว่า 30 คัน เจ้าของรถเป็นชาวจีน บางคันมีการสวมทะเบียน จะตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีส่วนร่วมรู้เห็นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์เข้าข่าย พ.ร.บ.การฟอกเงิน หรือไม่ เบื้องต้นทราบว่าสถานบันเทิงแห่งนี้เปิดมาได้ 4 เดือน เน้นรับเฉพาะลูกค้าชาวจีน ส่วนคนไทยและชาวกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นพนักงานร้านและบอดี้การ์ดติดตามของลูกค้าชาวจีน ตำรวจทราบว่าเจ้าของกิจการเป็นชาวจีนเช่นเดียวกัน ชุด บก.สส.บช.น.ใช้เวลาสืบสวนกว่า 1 เดือน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนขยายผล
มีรายงานว่า นายสิทธิพงษ์ (สงวนนามสกุล) มาแสดงตัวให้การว่าเป็นผู้ดูแล และ นายไฮเทา หวง อายุ 39 ปี ชาวจีน จับกุมได้ขณะวิ่งหลบหนีเข้าไปในห้องคลังสินค้านำยาเสพติดไปซุกซ่อน สอบสวน นายไฮเทา รับสารภาพว่า รับยาเสพติดมาจากพัทยา จ.ชลบุรี มาขายตามห้องคาราโอเกะ ยาเคกรัมละ 25,000 บาท แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาอี, เอ็กซ์ตาซี, เฮโรอีน) วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และยาเสพติดให้โทษ ประเภท 2 (ยาเคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายเพื่อการค้า นำตัวส่ง สน.ยานนาวา ดำเนินคดี
ต่อมานครบาลสรุปผลจับกุมว่า ชุดสืบสวน บก.สส.บช.น.นำหมายค้นตรวจสอบร้าน "จินหลิง" พบผู้ใช้บริการทั้งหมด 266 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ไม่ได้พกหนังสือเดินทางใช้วิธีถ่ายรูปเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบผู้ใช้บริการทั้งหมดพบปัสสาวะสีม่วง 104 ราย ชาย 50 ราย หญิง 54 ราย แบ่งเป็นชาวจีน 99 ราย หญิงชาวไทย 3 ราย ชายชาวไทย 1 ราย และชายชาวกัมพูชา 1 ราย คนไทยทำงานเป็นพนักงานและชาวกัมพูชาเป็นการ์ดของร้าน ร้านดังกล่าวไม่รับคนไทยเข้ามาเที่ยว นำตัวทั้งหมดส่ง รพ.ธัญญารักษ์ จ.ปทุมธานี ตรวจสอบยืนยันสารเสพติดชนิดใด ขณะนี้ประสานตำรวจตม.รับนักเที่ยวไปตรวจสอบ 125 คน เป็นชาวจีน 93 ราย พม่า 23 ราย กัมพูชา 1 ราย เวียดนาม 2 ราย จอร์เจีย 1 ราย และไม่มีสัญชาติ 5 ราย หากพบว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะเพิกถอนวีซ่า
จากการสอบปากคำพนักงานร้านทราบว่า เจ้าของร้านเป็นชาวจีนเปิดบริการมานาน 4 เดือน เมื่อก่อนเคยเปิดเป็นบ่อนการพนันแล้วปิด เปลี่ยนมาเป็นผับบาร์คาราโอเกะ ทั้งนี้ จะส่งข้อมูลให้ทูตตำรวจจีนตรวจสอบนักเที่ยวว่ามีประวัติต้องเฝ้าระวังหรือถูกดำเนินคดีอะไรหรือไม่ ทำงานอะไรถึงมีเงินจำนวนมาก ตรวจค้นตู้เซฟที่อยู่ภายในห้องสโตร์ พบยาเสพติดจำนวนมาก ได้แก่ เฮโรอีน 323 ซอง ยาอี 258 ซอง ยาอี บรรจุในหลอดกาแฟ 71 หลอด ยาเค 16 ซอง ยาเสพติด Happy water และเงินสด 1.3 ล้านบาท และมีตู้เซฟอีก 5 ใบ อยู่ระหว่างตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบเอกสารเก็บเงินค่าบริการโต๊ะเฉลี่ยโต๊ะละประมาณ 2 แสนบาท คาดว่ามีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านบาทต่อคืน เอกสารแบ่งเป็น 2 ชุด เก็บเงินค่าบริการกับค่าใช่จ่ายเขียนเป็นภาษาจีน อยู่ระหว่างตรวจสอบด้วยว่าจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ นอกจากนี้ ซองใส่ยาเสพติดเขียนชื่อไว้ด้วยคาดว่า เจ้าของเสพไม่หมดก็ฝากไว้ที่ร้านเพื่อกลับมาเบิกไปเสพต่อคราวหน้าได้ด้วย
ต่อมา พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6 (ขณะนั้น) เซ็นคำสั่ง บก.น.6 ที่ 408/2565 ลงวันที่ 26 ต.ค.65 ให้ พ.ต.อ.ธนโชติ ฤกษ์ดี ผกก.สน.ยานนาวา (ขณะนั้น) ปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.น.6 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบก.น.6 มอบหมาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และให้ พ.ต.อ.ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผบก.น.6 รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผกก.สน.ยานนาวา
วันเดียวกันที่โรงแรมเดวิส บางกอก เขตคลองเตย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดเผยกรณีกลุ่มนายทุนธุรกิจชาวจีนเปิดสถานบันเทิงมั่วสุมยาเสพติดในประเทศไทยว่า สถานบันเทิงลักษณะนี้จะรับลูกค้าที่เป็นคนจีนเท่านั้น มีการรับฝากยาเสพติดที่เสพไม่หมดไว้ได้ เหมือนฝากเหล้าในผับ ไม่ต้องเสี่ยงเจอด่านตำรวจ อีกทั้งไม่ได้เป็นแค่เพียงผับ แต่ยังเปิดเป็นบ่อนการพนันด้วย แถมยังนำน้ำดื่ม สุรา บุหรี่ นำเข้ามาจากประเทศจีน จ้างคนจีนเป็นเด็กเสิร์ฟ เรียกสถานบันเทิงประเภทนี้ว่า "ผับศูนย์เหรียญ" คือ เจ้าของเป็นคนจีน ของทุกอย่างมาจากประเทศจีนหมด เท่าที่ทราบมีอยู่ในย่านรัชดาภิเษก, สุทธิสาร, ห้วยขวาง, พระราม 2 และพัทยา ขบวนการเหล่านี้ มีเจ้าพ่อเมืองหลวง เป็นนักการเมืองใหญ่ให้ความคุ้มครอง ที่ทำหน้าที่หาเงินสีเทาเพื่อเอาไปให้กลุ่มการเมือง เพื่อเป็นทุนใช้เลือกตั้งในครั้งต่อไป ตนมีข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนายทุนจีนสีเทา และคนรับเงินผลประโยชน์ที่ตำรวจต้องรู้ไว้เพื่อปราบปราม โดยจะนำข้อมูลดังกล่าวพร้อมกับโทรศัพท์ให้แก่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(ขณะนั้น) เพื่อขอให้ช่วยปราบปรามกลุ่มนายทุนจีนธุรกิจสีเทา ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบรับ ยินดีนำข้อมูลของ นายชูวิทย์ ไปตรวจสอบ และยืนยันจะดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง
ภายหลังศาลสั่งยกฟ้องทาง นายชูวิทย์ ได้ให้ความเห็นถึงความผิดพลาดของคดีตู้ห่าว โดยระบุว่า
1. การวางแผนจับกุมที่ผิดพลาดตั้งแต่แรก ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอจนปล่อยผู้ต้องหาไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการสอดแนม เก็บข้อมูลจำนวนคน จำนวนพนักงาน จนมีการปล่อยผู้ต้องหาไปจำนวนมาก ซ้ำยังปล่อยนักท่องเที่ยวจีนที่ฉี่ไม่ม่วงออกไปตามหากุญแจรถแล้วขับรถหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จีนเทาขนของหนี แถมมีเวลาซ่อนยา และที่สำคัญ จับตัวการสำคัญไม่ได้ ปล่อยหนีหายไป (นายหวัง เจิ้น หนาน หลายชายตู้ห่าว) ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
2. เก็บหลักฐานแบบขยัก เว้นวรรค ไม่ครบถ้วน ที่เกิดเหตุมี 3 อาคาร คือ อาคารจินหลิง อาคารลีลา อาคารวิบวับคาร์วอช วันแรก 26 ต.ค. 2565 ค้นแค่อาคารจินหลิง พบยาเสพติด 4 กิโลกรัม เว้นวรรคไปอีก 5 วัน เพิ่งไปค้นอาคารวิบวับ ในวันที่ 1 พ.ย. 2565 พบยาเสพติดเกือบ 1 กิโลกรัม แต่ไปบันทึกเลขคดีในวันที่ 2 พ.ย. 2565 บอกว่าไม่พบผู้กระทำความผิด ทั้งที่ความเป็นจริงพบ นายเหมา หยาง ในกล้องวงจรปิด และความจริงอาจมียาเสพติดมากกว่านั้นเพราะเป็นโกดังขนาดใหญ่ แต่ขนหนีออกไปได้ วันที่ 27 พ.ย. 2565 รอง ผบ.ตร.อัยการ ปปส.ไปตรวจที่เกิดเหตุเพิ่มเติมยังพบของกลาง ถาดไม้ หลอดดูด ที่ปั่นจมูก ชิป อุปกรณ์เล่นการพนัน และพบรถของกลางอีก 11 คัน ยังไม่ได้ตรวจค้น แถมยังตรวจค้นรถตู้ของหลานชายตู้ห่าว ทะเบียน 8 กภ 1234 กรุงเทพมหานคร ในที่เกิดเหตุ พบอุปกรณ์เสพยาในรถ
3. การปล่อยรถของกลาง และผู้ต้องหารายสำคัญ ปล่อยหลานชายตู้ห่าว หวัง เจิ้น หนาน ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะรถอัลพาร์ดยังอยู่ อีกทั้งยังปล่อยผู้ต้องหากลางทาง นายหวัง เทียนฮุย ไปด้วย และมีการปล่อยรถของ เดวิด ฮอลล์ เบนซ์ S Class สีดำ รวมแล้วปล่อยรถของกลางไป 4 คัน
4. ผู้ทำสำนวนเป็นหัวหน้าของตำรวจที่ปล่อยรถคืนให้กับผู้ต้องหา
5. การตัดต่อกล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์มี 4 ตัว จินหลิง+วิบวับ 2 ตัว 40 กล้อง และลีลา 2 ตัว 68 กล้อง แต่ส่งกล้องให้พิสูจน์หลักฐานแค่ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยส่งให้พิสูจน์แค่วันที่ 21-26 ต.ค. 2565 ทั้งนี้เพื่อปิดบังบ่อนในอาคารลีลา และปิดบังไม่ให้เห็นตู้ห่าวกับหลาน
6. ออกหมายจับตู้ห่าวล่าช้า บุกจับจินหลิงวันที่ 26 ต.ค. 2565 ออกหมายจับ 22 พ.ย. 2565
7. แจ้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าวล่าช้า ตู้ห่าวโดนข้อหายาเสพติดร้ายแรง และข้อหายาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน แต่ไม่ยอมตั้งข้อหาตั้งแต่แรก เหมือนจงใจให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จนเจอเงินในบัญชีตู้ห่าวแค่ 1 แสน จนกระทั่ง 24 ธ.ค. 2565 แจ้งข้อหาฟอกเงินกับคนสนิทตู้ห่าว แต่ยังไม่แจ้งฟอกเงินกับตู้ห่าว (มาแจ้งในภายหลัง)
8. ท้ายสุดเจ้าของสำนวนทำผิดพลาดจน ผบ.ตร.และอัยการสูงสุด ต้องมาทำคดีเอง แต่หลักฐานต่างๆ ได้ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากแล้ว.