ศาลอาญาประทับฟ้องคดี “ผู้การเเต้ม” ฟ้องกลับ ”บิ๊กโจ๊ก“ ฐานหมิ่นประมาท ให้สัมภาษณ์เหน็บ "กูรูทางกฎหมายรู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง รับราชการตํารวจก็ไม่ประสบความสําเร็จ” ศาลนัดสอบคำให้การ 19 พ.ค.นี้
วันนี้ (10 ก.พ.) ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี ที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ"ผู้การแต้ม"ฟ้อง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
คำฟ้องระบุสรุปว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2567 จําเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ด้วยถ้อยคําว่า “กูรูทางกฎหมายรู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง” ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวหมายถึงโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย ปัจจุบันโจทก์ให้ความเห็นทางกฎหมายผ่านสื่อสาธารณะอยู่เป็นประจํา ซึ่งคําว่า “กูรูทางกฎหมาย” นั้น ประชาชนทั่วไปรับรู้ได้ว่าหมายถึงตัวโจทก์ เพราะในช่วงระยะเวลาที่จําเลยได้ให้สัมภาษณ์นั้น เป็นช่วงระยะเวลาเดียวกันกับที่โจทก์ได้รับการติดต่อจากรายการทีวี ให้ไปเผยแพร่ความรู้ ความเห็นกรณีของจําเลยต่อสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่สื่อมวลชน และประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทําให้ประชาชนทั่วไป ที่ได้รับชมหรืออ่าน การให้สัมภาษณ์ของจําเลย ในคําว่า “กูรูทางกฎหมาย” ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นโจทก์
ต่อมาวันที่ 28 มิ.ย.2567 จําเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีอาญาฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ จึงเป็นการยืนยันว่าในการให้สัมภาษณ์ความเห็นทางด้านกฎหมายของโจทก์ต่อประชาชนที่ได้รับชมหรือ ของจําเลยต่อสื่อมวลชนหลายสํานัก เป็นการจงใจใส่ความโจทก์อันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สามจริง และถ้อยคําว่า “รับราชการตํารวจก็ไม่ประสบความสําเร็จ” ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะ เป็นการใส่ความโจทก์ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตํารวจ ยศพลตํารวจตรี มีชื่อเล่นว่า “แต้ม” ประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนทั่วไปรู้จักโจทก์ในนาม “พลตํารวจตรีวิชัย” หรือ “ผู้การแต้ม” หรือ “รองแต้ม” หรือ “มือปราบหูดํา” ทําให้ประชาชนเข้าใจว่า โจทก์ไม่ประสบความสําเร็จทางราชการตํารวจ โดยโจทก์เคย รับราชการตํารวจมาเป็นเวลากว่า 30 ปี เคยดํารงตําแหน่งรองผู้บัญชาการตํารวจนครบาล ได้รับรางวัล สืบสวนดีเด่นของกรมตํารวจ ปี 2539 รางวัลข้าราชการดีเด่นของสมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวแห่งประเทศ ไทย ปี 2543 รางวัลปราบปรามยาเสพติดดีเด่นของ ป.ป.ส. จากสํานักนายกรัฐมนตรี ปี2545-2546 เป็นต้น
การที่จําเลยใส่ความว่าโจทก์รับราชการตํารวจก็ไม่ประสบความสําเร็จดังกล่าว แม้จําเลยจะไม่ได้เอ่ยชื่อโจทก์โดยตรง แต่ข้อความดังกล่าวมีลักษณะชี้เฉพาะเจาะจงทําให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นโจทก์
นอกจากนี้จำเลยยังให้สัมภาษณ์ มีถ้อยคําว่า “เดี๋ยวภายในวันศุกร์ เดี๋ยวฟ้องแน่นอน” “ก็หมิ่นประมาทไง พูดเยอะไง” และจําเลยได้ยืนยันกับว่าบุคคลที่จะยื่นฟ้องมีอดีตตํารวจด้วย และถ้อยคําว่า “เดี๋ยวจะสอนมวย พวกกูรูหน่อย พวก ๆ กูรูที่ ๆ อะไรเค้าเรียกว่า รู้เยอะอ่ะ พูดจนชาวบ้านงงไปหมดแล้ว” ถ้อยคําดังกล่าว มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตํารวจยศพลตํารวจตรี เป็นเจ้าของกิจการค่าย มวย ชื่อว่า “ว.สังข์ประไพ” และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย โจทก์เคยเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ข้าราชการการเมือง) และเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยโจทก์ได้รับหน้าที่ดูแลหลายด้าน รวมถึงด้านกฎหมาย
ถ้อยคําดังกล่าวของจําเลยมีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ ทําให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แม้จําเลยจะไม่ได้เอ่ยชื่อโจทก์โดยตรง เป็นการใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย
พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์เบิกความ
ยืนยันข้อความตามคำฟ้องที่จำเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนและมีการนำไปเผยแพร่ทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์อาทิ แอปพลิเคชันยูทูปสู่สาธารณะชนนั้น แม้จำเลยไม่ได้กล่าวถึงโจทก์โดยตรง แต่เมื่อนำถ้อยคำที่จำเลยกล่าวถึงมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วทำให้บุคคลที่ได้รับชมอาจเข้าใจได้ว่าหมายถึงตัวโจทก์
อันมีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดคดีจึงมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยมาให้การตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยาน วันที่ 19 พ.ค.2568