xs
xsm
sm
md
lg

เปิดรายละเอียดคำพิพากษา จำคุก "สมรักษ์" 2 ปี 13 เดือน 10 วัน พยายามข่มขืนเยาวชนวัย 17

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



เปิดคำพิพากษา ศาลจังหวัดขอนแก่นสั่งจำคุก"สมรักษ์" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร-พยายามข่มขืนโดยใช้กำลัง นักเรียนสาววัย 17 ปี พร้อมให้จ่ายค่าเสียหายรวม 170,000 บาท

วันนี้ (23 ม.ค.) ศาลจังหวัดขอนแก่นได้อ่านคำพิพากษาคดีอาญาดำที่ อ 694/2567 ที่พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่นเป็นโจทก์ ฟ้อง นายสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก และนายพิเชษฐ์ ชิเนหันทา หรือ “เป๊กโก้” เพื่อนสนิทนายสมรักษ์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ฐานร่วมกันพาบุคคลเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ร่วมกันพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ระหว่างพิจารณา ศาลอนุญาต ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด และผู้เสียหายที่ 1 โดยมารดาผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว

ศาลจังหวัดขอนแก่นพิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 ในห้องพักที่เกิดเหตุได้เป็นลำดับขั้นตอน เป็นเรื่องยากที่ผู้ซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะเบิกความได้เชื่อมโยงกัน เริ่มตั้งแต่เมื่อจำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายที่ 1 เข้าห้องพักของจำเลยที่ 1 โดยเปิดประตูและล็อกประตูจากนั้นจำเลยที่ 1 ลวนลามผู้เสียหายที่ 1 โดยกอด และจูบ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขืน แล้วจำเลยที่ 1 เหวี่ยงผู้เสียหายที่ 1 ไปที่เตียงนอน จำเลยที่ 1 ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายที่ 1 และของตนเองออกแล้วมานั่งคร่อมที่ต้นขาของผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1 ใช้อวัยวะเพศดันสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งหากผู้เสียหายที่ 1 มิได้ประสบเหตุการณ์จริง ผู้เสียหายที่ 1 ย่อมไม่สามารถเบิกความได้เป็นลำดับ

นอกจากนั้นภายหลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาตั้งสติยังที่พักที่โรงแรมนีโอได้ปรึกษากับเพื่อน ผู้เสียหายที่ 1 ก็รีบเข้าแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบบาดแผลที่อวัยวะเพศเป็นโลหิตที่มุมปากช่องคลอด แพทย์ลงความเห็นว่ามีระยะเวลาเกิดบาดแผลไม่เกิน 12 ชั่วโมงและมีบาดแผลใหม่บริเวณฝีเย็บด้านขวาใต้ต่อปากช่องคลอด มีระยะเวลาเกิดบาดแผลไม่เกิน 6 ชั่วโมง พยานผู้เชี่ยวชาญเบิกความให้ความเห็นว่า อาจจะมีการล่วงล้ำของอวัยวะเพศหรือสิ่งอื่นทางช่องคลอด อีกทั้งยังพบรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของจำเลยที่ 1 ตามร่างกายและชุดชั้นในของผู้เสียหายที่1 สอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 พยายามเอาอวัยวะเพศสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัว จึงใช้อวัยวะเพศถูรอบนอกอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขืนพลิกตัวออกแล้วพยายามดันจำเลยที่ 1 ออก จากนั้นจำเลยที่ 1 พยายามสอดใส่แต่ไม่สำเร็จ ผู้เสียหายที่ 1 ดันจำเลยที่ 1 ออก จำเลยที่ 1 จึงสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองด้วยมือใกล้กับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 

แม้ข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ใช้ขาแหวกขาของผู้เสียหายที่ 1 ใช้มือถกกระโปรง ถอดกางเกงชั้นใน แล้วใช้อวัยวะเพศดันเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งให้การในวันที่ 13 ธ.ค.66 หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในระยะเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ทำให้ไม่มีโอกาสบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น นอกจากนั้นพยานผู้เชี่ยวชาญไม่ยืนยันโดยให้ความเห็นว่า อาจจะมีการล่วงล้ำของอวัยวะเพศหรือสิ่งอื่นใดทางช่องคลอดซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ใช้อวัยวะเพศถูรอบนอกอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 ดิ้นขัดขืน ทำให้จำเลยที่ 1 กระทำไม่สำเร็จ นอกจากนี้ เกี่ยวกับร่องรอยความรุนแรงที่พบตามร่างกายผู้เสียหายที่ 1 แพทย์เบิกความยืนยันว่า พบรอยแดงที่เต้านมข้างขวาของผู้เสียหายที่ 1 ใช้แรงกดทับอย่างรุนแรงที่หน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 สอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์ของร่างกายของผู้เสียหายที่ 1 และพบส่วนประกอบของน้ำอสุจิ บาดแผลบาดแผลฉีกขาดที่มุมปากช่องคลอดด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 มิได้ยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1หากผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม ย่อมไม่เกิดบาดแผลดังกล่าว

ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า มีการตกลงค้าประเวณีทั้งตามข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่า เข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 มีอายุเกิน 20 ปี นั้น ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า ได้แจ้งอายุให้จำเลยที่ 1 ทราบที่ร้านสุขสันต์ผับแล้ว และขัดต่อที่จำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า ขณะอยู่ห้องพักที่เกิดเหตุ นึกได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุ 17ปี จึงหยุดไม่กระทำต่อ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ทราบว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุ 17 ปี ก่อนแล้ว เจือสมกับที่จำเลยที่ 1 เบิกความ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ทราบมาก่อนแล้วว่า ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 17 ปี พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด และฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ส่วนความผิดฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายนั้น ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ลวนลามผู้เสียหายที่ 1 โดยกอด และจูบ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขืน แล้วจำเลยที่ 1 เหวี่ยงผู้เสียหายที่ 1 ไปที่เตียงนอน จำเลยที่ 1 ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายที่ 1 และของตนเองออกแล้วมานั่งคร่อมที่ต้นขาของผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1 ใช้อวัยวะเพศดันสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีของเหลวเปื้อนที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ก็เพื่อจำเลยที่ 1 จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่1 เท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการอย่างอื่นต่อผู้เสียหายที่ 1 อีก ดังนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ด้วยไม่ได้จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย

สำหรับความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุเกินกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย หลังจากผู้เสียหายที่ 1 หนีจำเลยที่ 1 จากห้องพักที่เกิดเหตุ จนกลับมาตั้งสติกับเพื่อนที่ห้องพัก โรงแรมนีโอ และเดินทางไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจในทันที เชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามจริง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิพาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปยังห้องพักที่เกิดเหตุสองต่อสองเพื่อมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1 มีอายุ 50ปีเศษ ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ยังเป็นนักเรียนมีอายุ17ปีเศษ การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายที่ 1เข้าไปในห้องพักที่เกิดเหตุในโรงแรมเวลากลางดึก พฤติการณ์ดังกล่าวส่อเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่ามีเจตนาไม่ดีมาแต่แรก ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า ผู้เสียหายที่ 1 เต็มใจเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 นั้น แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายที่1 เต็มใจมีเพศสัมพันธ์ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงข้างต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายที่ 1 มิได้ยินยอมที่จะเข้าไปในโรงแรมที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1 เพื่อมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1การกระทำของจำเลยที่1 จึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแลโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา318วรรคสาม

ส่วนจำเลยที่ 2ทางพิจารณาฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 พบผู้เสียหายที่ 1 ภายในร้านสุขสันต์ผับเป็นครั้งแรก มีโอกาสสนทนากันภายในผับและลานจอดรถ โจทก์มีเพียงของผู้เสียหายที่ 1 เป็นพยานเบิกความเกี่ยวกับการแจ้งอายุของของผู้เสียหายที่ 1 แก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น อีกทั้งปรากฏป้ายห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า20ปี เข้าใช้บริการที่หน้าประตูทางเข้าร้าน มีเจ้าหน้าที่ร้านตรวจสอบบัตรประชาชนของผู้ใช้บริการ น่าเชื่อว่าจำเลยที่2 ไม่ทราบว่าของผู้เสียหายที่ 1 มีอายุ 17ปีจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด จะถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดโดยเจตนาไม่ได้

สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ร่วมเรียกจากจำเลยทั้งสอง ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ร่วม และผู้ร้องแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์ร่วมเป็นเงิน50,000 บาท กำหนดค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ร้องเป็นเงิน20,000 บาท ค่าทนทุกข์เวทนาเป็นเงิน50,000 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นเงิน50,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิด เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม และต้องชำระแก่ผู้ร้องเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย จำคุก 2 ปี ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย และฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 2ปี 8เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย คงจำคุก 1 ปี 4เดือน ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วัน

รวม จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 13 เดือน 10 วัน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ร่วม 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 10 ธ.ค.66 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม และให้จำเลยที่1 ชำระเงินแก่ผู้ร้อง 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 ธ.ค.2566 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอปล่อย ตัวชั่วคราว ระหว่างอุทธรณ์คดี
ศาลจังหวัดขอนแก่น อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกัน 300,000 บาท

.
.
กำลังโหลดความคิดเห็น