xs
xsm
sm
md
lg

“ติ๊ก ชิโร่” แถลงเปิดใจพร้อมเยียวยาคู่กรณี แต่อีกฝ่ายเรียก 24 ล้าน จ่ายไม่ไหว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“ติ๊ก ชิโร่” ตั้งโต๊ะแถลงคืบหน้ากรณีเมาแล้วขับรถชน จยย.เสียชีวิต 2 ราย เผยพร้อมดูแลเยียวยา แต่ฝั่งผู้เสียหายเรียกชดเชย 24 ล้านบาท ซึ่งยอดเงินสูงเกินไป ยังหาเงินให้ไม่ได้



จากกรณี นายมนัสวิน นันทเสน หรือ ติ๊ก ชิโร่ ศิลปินชื่อดัง เมาแล้วขับรถชนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายปี 2567 ล่าสุดผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย จนทำให้ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย คือ น.ส.เทียนพร หรือเมจิ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 28 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ต่อมานายจักรภัคร หรือจูเนียร์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 ที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (23 ม.ค.) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายมนัสวิน หรือติ๊ก ชิโร่ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นการพูดคุยเพื่อชี้แจงความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการแก้ต่างหรือแก้ตัว ครั้งนั้นเป็นอุบัติเหตุ ที่ไม่มีใครที่อยากจะให้เกิดขึ้น ทั้ง 2 ครอบครัวรู้สึกสูญเสียทั้งร่างกาย และจิตใจ ถ้าตนเลือกได้คงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริง และหาทางในการแก้ไขเยียวยา และหาหนทางที่จะให้สองครอบครัวดำรงชีวิตต่อไปได้ และก้าวเดินต่อไป


เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสูญเสียอย่างมากในช่วงชีวิตนี้ แต่ในวิกฤตก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่สวยงามเสมอ เหมือนกับดอกไม้ที่เกิดขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังของทั้งจิตใจ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถที่จะทนได้ แต่บางครั้งก็เหมือนน้ำฝนชโลมจิตใจ จึงขอขอบคุณพ่อแม่ผู้เสียชีวิต ที่ 2 ครอบครัวพยายามเอาใจใส่ซึ่งกัน หาแนวทางออก พร้อมเห็นอกเห็นใจกัน

โดยเมื่อวานนี้ตนเจอ น.ส.จิณห์นิภา อายุ 24 ปี (ลูกสาวคนกลางที่รอดชีวิต) ในงานศพของน้องจูเนียร์ ตนเดินเข้าไปและจับมือพร้อมบอกกับน้องว่า ให้เข้มแข็ง เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ก่อนที่จะรีบปล่อยมือออก เพราะตนจะไม่สามารถกลั้นน้ำตา ซึ่งหลายคนอาจจะเห็นว่า ตนมีท่าทีที่เข้มแข็งแต่จิตใจของตนนั้นแตกสลาย ซึ่งในส่วนของเรื่องการเยียวยานั้น จะพูดคุยกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและจะแต่งเพลงให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากปล่อยเพลงออกไปแล้วมีรายได้เข้ามา ก็จะนำเงินทั้งหมดนั้นมอบให้กับทางครอบครัวเพื่อเป็นการเยียวยาอีกทาง

ด้าน น.ส.เอ๋ (นามสมมติ) น้องสาวของภรรยา ติ๊ก ชิโร่ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุขึ้น พี่ติ๊กให้ข้อมูลกับตำรวจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง และไม่เคยกลับคำให้การสักครั้ง พร้อมกับนำหลักฐานกล้องหน้ารถส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่ยื่นหนังสือรับรองขอความเป็นธรรมไปตามที่เป็นข่าว เป็นเพียงการขอให้สอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี

ในส่วนการเจรจาความเสียหาย ที่คุณพ่อของผู้เสียชีวิตออกมาบอกว่า พี่ติ๊กไม่เคยไปเจรจานั้น ในวันแรกที่เกิดเหตุตัวพี่ติ๊กเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ตนจึงเป็นคนประสานงานให้ตั้งแต่วันแรก และทราบว่าในวันเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนคือน้องเมจิ ทางครอบครัวตนจึงจ่ายให้ไป 100,000 บาท และเมื่อพี่ติ๊กออกจากโรงพยาบาลได้ ก็ไปงานรดน้ำศพและสวดอภิธรรมงานศพของน้องเมจิทุกวัน เมื่องานเสร็จสิ้นทางเราก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพให้กับตัวคุณพ่อผู้เสียชีวิตไปอีก 75,530 บาท

หลังจากนั้นทางฝั่งพี่ติ๊กและครอบครัวผู้เสียชีวิตก็นัดเจรจากัน ครั้งแรกที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในวันที่ 12 ต.ค.67 โดยมีผู้ใหญ่ร่วมรับฟังด้วย ซึ่งวันดังกล่าวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากน้องจูเนียร์ยังอยู่ในห้องไอซียู จึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ โดยหลังจากนั้นพี่ติ๊กและคุณพ่อของผู้เสียชีวิตก็แลกช่องทางติดต่อกัน และติดต่อกันอยู่ตลอด

ต่อมาทางฝั่งพี่ติ๊กก็นัดเจรจากับครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกครั้ง ที่บ้านของพี่ติ๊ก ซึ่งวันนั้นทางครอบครัวผู้เสียชีวิตเสนอขอค่าเยียวยา 9 ล้านบาท แต่ในวันดังกล่าวยังพูดไม่ชัดเจนว่า 9 ล้านคือแค่น้องเมจิคนเดียวหรือไม่ โดยตนมาทราบภายหลังว่า 9 ล้านบาท คือค่าเยียวยาของน้องเมจิคนเดียว ซึ่งหลังจากนั้นทางพี่ติ๊กก็ไปเยี่ยมน้องและซื้อของที่จำเป็น และถามไถ่อาการอยู่ตลอด จากนั้นก็นัดหมายอีกครั้งที่ สน.คันนายาว ในวันที่ 19 ต.ค.67 ตนจึงเข้าไปเจรจาแทนพี่ติ๊ก โดยระหว่างพูดคุยกันก็ประสานกับประกันภัย ซึ่งในวันนั้นประกันยินยอมจ่ายให้จำนวน 500,000 บาท ซึ่งทางประกันภัยแจ้งว่า วงเงินที่จะจ่ายเยียวยา

สำหรับคนเจ็บและผู้เสียชีวิตนั้นสูงสุดคนละ 1 ล้านบาท แต่หากทางติ๊กเป็นฝ่ายผิด ก็จะจ่ายเพิ่มอีกคนละ 500,000 บาท ทำให้ญาติเข้าใจผิด ว่าทางเราจะเยียวยาเพียงแค่ 3 ล้านบาท ทางญาติของผู้เสียชีวิตจึงเดินมาบอกว่า “หากขับรถชนลูกสาวของติ๊กตายบ้าง แล้ววางเงินให้ 3 ล้านบาทได้ไหม?” ตนรู้สึกว่าคำพูดนี้แทงใจ และคิดว่าการเจรจาไม่ควรพูดกันแบบนี้


น.ส.เอ๋ กล่าวอีกว่า ซึ่งระหว่างนั้นที่น้องจูเนียร์รักษาพยาบาล ทางคุณพ่อของน้องก็ติดต่อมาทางพี่ติ๊กให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ พี่ติ๊กยินยอมจ่ายไปตลอด 3 เดือนที่เกิดขึ้น โดยจ่ายไป 420,000 บาท ซึ่งหากรวมกับเงินที่ประกันภัยจ่ายไปแล้ว 500,000 บาท ก็จะอยู่ที่ 920,000 บาท ในส่วนนี้จะมองว่าเป็นเงินเยียวยาหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา นอกจากนี้ ในส่วนของพรบ.รถยนต์ แจ้งว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินให้ก่อนได้ เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุด

หลังจากนั้นตนจึงปรึกษาหารือกันภายในครอบครัว และคิดว่าจะนำทรัพย์สินที่ดินใน จ.นครราชสีมา 1 แปลงออกมาขาย โดยราคาที่ดินขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะโฉนดอยู่ในตู้เซฟ โดยทางพี่สาวหรือภรรยาของพี่ติ๊กเป็นผู้เก็บไว้ แต่พี่สาวอยู่ต่างประเทศ แต่คาดว่า ราคาจะอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท โดยจะนำมาขาย หากขายไม่ได้ ก็จะนำมาโอนให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดฝั่งพี่ติ๊กจะเป็นผู้ออก

กระทั่งวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเจรจากันครั้งสุดท้ายในชั้นของสถานีตำรวจ โดยมีผู้กำกับมานั่งร่วมเจรจาด้วย ในวันดังกล่าวทางฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิต เสนอตัวเลขค่าเยียวยาของน้องจูเนียร์ 18 ล้านบาท และของน้องเมจิ 6 ล้านบาท รวมเป็น 24 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมองว่ายังไม่สามารถที่จะให้ได้ เนื่องจากยอดเงินสูงหากให้ไม่ทัน จะต้องปรึกษากับทางครอบครัวก่อน และการเจรจานี้ยังไม่ถึงสิ้นสุด ยืนยันว่าขณะนี้ทางครอบครัวของพี่ติ๊กสามารถเยียวยาทั้ง 2 ชีวิตได้ในวงเงิน 4-5 ล้านบาท ซึ่งอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะเยียวยาสูงสุดเท่าไร

ขณะที่นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความ กล่าวว่า ในส่วนแนวทางการดำเนินคดี ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในชั้นสอบสวนที่ต้องเรียก ติ๊ก ชิโร่ ไปแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย เป็นข้อหาเมาแล้วขับ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต้องรอจนกว่าจะถึงการสรุปสำนวน เราไม่ขอก้าวล่วง แต่เมื่อทราบผลคดีหรือการสรุปสำนวนของพนักงานสอบสวน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเป็นอย่างไรนั้น เราก็จะดำเนินการร้องขอความเป็นธรรม เพื่อขอให้ทำคดีให้ออกมาถูกต้องตามความเป็นจริงของกฎหมาย

ซึ่งในส่วนคลิปหน้ารถที่เราไม่ได้นำมาเปิดเผย เพราะว่าอยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาติ๊กไม่เคยปฏิเสธว่า ตัวเองไม่ได้กระทำความผิด เพราะติ๊กรับสารภาพ แต่เรามองว่าเหตุการณ์ในคดีนี้ ความผิดจะเกิดจากฝ่ายติ๊กฝ่ายเดียวหรือไม่ คงต้องรอผลจากพนักงานสอบสวนก่อน และทางทนายความทำหนังสือไปที่พนักงานสอบสวน เพื่อให้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการเป็นไปตามข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ได้นัดวันเคลียร์ค่าเยียวยาอีกครั้ง ต้องรอพนักงานสอบสวนเรียกตัวไปแก้ไขสำนวนแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเราก็พร้อมจะเจรจา หากเจรจาแล้วไม่ได้ผลก็จะเจรจาใหม่ และหากสรุปสำนวนคดีไม่เป็นธรรม ก็จะร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการเพื่อรักษาสิทธิ์ของเราเอง ทั้งนี้ต้องเข้าใจกฎหมายของประเทศไทยก่อนว่า ต้องยอมรับต้องความเป็นจริง บางทีค่าของคนมันไม่เท่ากัน เรารู้ว่าชีวิตเดียวเท่ากัน ตรงนี้น่าจะเข้าใจตรงกัน

ด้าน ติ๊ก ชิโร่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปกติแล้วเป็นคนที่ระมัดระวังเรื่องกฎจราจรเป็นอย่างมาก ขนาดพาสุนัขไปเดินเล่นก็จะใส่หมวกกันน็อกทุกครั้ง หรือขับขี่รถจักรยานยนต์ก็จะใส่หมวกกันน็อกเสมอ และหลายครั้งที่ตนเห็นเยาวชนไม่ใส่หมวกกันน็อก ก็จะเข้าไปเตือนตลอด เพราะชีวิตมีค่า ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้บริการเรียกคนมาขับรถให้ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของตนในช่วงวัย 63 ย่าง 64 ปี ที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนี้ แต่ตนก็ไม่ได้ขอให้สังคมให้อภัยตน โดยก่อนเกิดเหตุปกติแล้วตนเป็นคนที่มีนิสัยเฮฮา แต่หลังเกิดเหตุจะต้องระมัดระวัง เพราะจะกลายเป็นข้อครหาของสังคม

อีกทั้งที่ผ่านมาไปเยี่ยมน้องจูเนียร์ที่โรงพยาบาล และฝากฝังให้เจ้าหน้าที่ดูแลน้องจูเนียร์ แต่น้องจูเนียร์จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งทางครอบครัวนั้นไม่มีที่สำหรับดูแลน้องจูเนียร์ จึงส่งน้องจูเนียร์ไปที่ศูนย์ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งผมจ่ายไปเดือนแรก 50,000 เดือนที่ 2 จ่ายไป 100,000 บาท ซึ่งไม่มีใครคิดว่า น้องจะมาเสียชีวิตอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น