หนุ่มพนักงานสำรวจน้ำมัน ร้องทนายดัง ถูกมิจฉาชีพสวมรอยใช้รูปบัตรประชาชนปลอมขอออกซิมมือถือใหม่ ก่อนใช้หลอกธนาคารขอรหัสบัตรเครดิตเอาไปใช้ สูญเงินเกือบ 7 หมื่นบาท
วันนี้ (18 ม.ค.) ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายกิตติณัฐ อายุ 37 ปี พนักงานบริษัทสำรวจน้ำมันแห่งหนึ่ง นำหลักฐานเอกสารต่างๆ เข้าร้องเรียนกับ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิ, ว่าที่ร้อยตรี ภัทรสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิ, นางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิ หลังถูกมิจฉาชีพใช้รูปบัตรประชาชนปลอม นำไปแจ้งศูนย์โทรศัพท์ชื่อดัง เพื่อขอเปลี่ยนซิมใหม่แต่ใช้เบอร์เดิมของตน ก่อนนำรหัสบัตรเครดิตของธนาคารที่ส่งทางมือถือไปรูดเงินสูญเกือบ 70,000 บาท จึงเดินทางมาร้องมูลนิธิให้ช่วยเหลือ
นายกิตติณัฐ อายุ 37 ปี พนักงานบริษัทสำรวจน้ำมันแห่งหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 68 เวลาประมาณ 19:30 น. ที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือส่วนตัวของตนได้ถูกตัดสัญญาณ ใช้งานไม่ได้ ตอนนั้นคิดเพียงว่าเสาสัญญาณอาจมีปัญหาจึงไม่ได้คิดอะไร จึงได้ใช้โทรศัพท์เชื่อมต่อกับ wifi ที่บ้าน หลังจากผ่านไป 3 นาที ก็มีข้อความส่งเข้ามาแจ้งว่ามีการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านออนไลน์ 3 ครั้ง มูลค่าเกือบ 70,000 บาท ครั้งแรกในเวลา 19:33 น. จำนวน 46,964 บาท ครั้งที่ 2 และ 3 เวลา 19:41 น. และ 19:42 น. ครั้งละ 10,000 บาท
ตนจึงโทรศัพท์ติดต่อไปยังเจ้าของเครือข่ายสัญญาณสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้รับคำตอบว่า ก่อนหน้านี้ มีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ศูนย์บริการ จ.กระบี่ แล้วทำเรื่องขอออกซิมใหม่เบอร์เดิม ตนจึงขอให้ทางเจ้าของเครือข่ายสัญญาณเก็บข้อมูลหลักฐาน และขอให้ระงับเครือข่ายไว้ก่อน ในเวลา 21:00 น. ของคืนวันนั้น จนวางใจและคิดว่าตอนเช้าวันรุ่งขึ้นจะไปเดินเรื่องให้แล้วเสร็จ แต่ต่อมาเวลา 04:00 ในคืนเดียวกัน มีการใช้งานซิมนั้นอีกครั้ง โดยมีข้อความเตือนมาว่า สามารถเข้าระบบบัตรเครดิตอีกใบสำเร็จ ตนจึงโทร.สอบถามไปยังเจ้าของเครือข่าย ได้รับคำตอบว่า มีคนมาขอให้เปิดใช้สัญญาณซิม และเจ้าหน้าที่ก็อนุญาต ตนจึงรู้สึกโมโห และโวยวายไป เพราะเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ใช้ซิมทั้งที่ยังอยู่ในขั้นตอนการร้องเรียน ตนจึงขอให้ทางเจ้าของสัญญาณระงับสัญญาณอีกครั้ง และตอนเช้าของวันที่ 13 ม.ค. ก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางเขน และไปร้องเรียนศูนย์เครือข่ายใกล้บ้าน และขอออกซิมใหม่ให้ดึงสัญญาณกลับมาที่มือถือตน ส่วนความเสียหายที่มิจฉาชีพเอาเงินไปได้เกือบ 70,000 บาท ยังโชคดีที่วงเงินในบัตรตนเต็ม แต่ถ้ามีเยอะกว่านี้ ก็คงจะเสียมากกว่านี้
หลังจากนั้น ตนได้โทร.ไปขอหลักฐานจากทางเจ้าของเครือข่ายจนได้หลักฐานมาว่า มีชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางไปยังสาขาที่ จ.กระบี่จริง โดยได้ยื่นบัตร ปชช.ให้เจ้าหน้าที่ โดยข้อมูลในบัตรเป็นข้อมูลของตนทั้งหมด ยกเว้นรูปบัตรที่เป็นรูปคนร้าย แต่พอมาจับสังเกต ชื่อที่สะกดภาษาอังกฤษ วันออกบัตร ผู้ออกบัตร ข้อมูลไม่ตรงกัน คาดว่า มิจฉาชีพปลอมบัตรประชาชน เพื่อไปขอออกซิมการ์ดใหม่
นายกิตติณัฐ กล่าวอีกว่า จากการพูดคุยกับผู้จัดการสาขากระบี่ แจ้งว่า พนักงานไม่ได้ดูบัตรตัวจริง เป็นแค่การดูภาพจากโทรศัพท์มือถือ พอเห็นว่ารูปบัตรกับคนที่มายื่นตรงกัน จึงอนุญาตเปิดซิมใหม่ให้ไป แต่ตนไม่เข้าใจว่า ซิมการ์ดมีการเปิดใช้งานล่าสุดที่เขตหลักสี่ กทม. แต่มิจฉาชีพไปขอเปิดซิมใหม่ที่ จ.กระบี่ ทำไมพนักงานถึงไม่เอะใจและสาเหตุที่ออกซิมการ์ดใหม่คือ “ซิมการ์ดสูญหาย” แต่ในความจริงซิมการ์ดไม่ได้หาย แต่ทางเครือข่ายมาตัดสัญญาณในโทรศัพท์ตน และออกซิมใหม่ให้ใครไม่รู้
จึงอยากฝากไปถึงเครือข่ายสัญญาณว่า อยากให้ตรวจสอบเอกสารตัวจริง และการใช้ซิมล่าสุดว่าสอดคล้องกับการขอออกซิมใหม่หรือไม่ และอยากให้ทางเครือข่ายรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดผู้ที่ฉ้อโกง ที่ทำให้ลูกค้าเสียเวลา และเสียชื่อเสียง พร้อมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้กับตนที่เป็นผู้เสียหาย และอยากให้พิจารณาบทลงโทษพนักงานที่อนุญาตให้เปิดซิมใหม่ และพนักงานที่เปิดใช้งานสัญญาณในขณะที่มีการร้องเรียน เพราะอาจจะไม่ได้ทำตามระเบียบของบริษัท หรืออาจจะที่บกพร่องต่อหน้าที่
โดยทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม จะพาผู้เสียหายไปให้ข้อมูลกับทาง สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป