ตำรวจคุมตัว “จ่าเอ็ม” ถึงกรุงเทพฯ ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำคดียิง “ลิม กิมยา” อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชาเสียชีวิต ยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ยังไม่สรุปเป็นการจ้างวานหรือเหตุเฉพาะหน้า
วันนี้ (11 ม.ค.) ที่ กองบินตำรวจรามอินทรา พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วยผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เดินทางขึ้นเฮลิคอปเตอร์ AW 189 ออกจากกองบินตำรวจ และมีเครื่องบินอีกลำนำตัวนายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ จ่าเอ็ม กองเรือ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อายุ 73 ปี อดีตสส.ฝ่ายค้านของกัมพูชาดับบริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ไปให้พนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม โดยมีพล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อํานาจ ไตรพจน์ รองผบช.น. พล.ต.ต. เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 ร่วมทำการรับตัวผู้ต้องหา
พล.ต.ท.สมประสงค์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รับตัวผู้ต้องหา จากประเทศกัมพูชา รับสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าวจริง ส่วนรายละเอียดส่งมอบให้ พล.ต.ท.สยาม สอบสวน ถึงแม้ว่าเขารับสารภาพให้เป็นเรื่องกระบวนการสืบสวนสอบสวน ส่วนสาเหตุการหลบหนีนั้น ยังไม่ได้มีการซักถาม ส่วนผู้ร่วมขบวนการอยู่ในสำนวนการสอบสวน
ส่วนเป็นเรื่องจ้างวานหรือเฉพาะหน้ายังสรุปไม่ได้ กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการจับกุมตามกฎหมายรับสารภาพ ซึ่งเรื่องของกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นเรื่องของ ผบช.น. ความผิด 3 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
นอกจากนี้ มีการพูดคุยทางการกัมพูชา ประสานความร่วมมือบุคคลตามหมายจับขอความร่วมมือ ประสานการตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีรู้อยู่แล้วตามหมายจับ มีผู้ร่วมดำเนินการหรือไม่ ข้อมูลในสำนวนเราพูดไม่ได้ แต่กระบวนการสอบสวน การรวบรวมหลักฐานเกี่ยวข้องกับใครก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และเมื่อมีปัญหาตำรวจมีหน้าที่แก้ไขปัญหานั้น ส่วนการคุ้มกันแน่นหน้า ใช้หลักการตามยุทธวิธี ผู้ต้องหาเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม ส่วนเกี่ยวพันเรื่องการเมืองหรือไม่ เราไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้สอบปากคำ เราตอบแทนเขาไม่ได้ ส่วนคนชี้เป้าอาจจะเป็นคีย์แมนสำคัญหรือไม่ ทุกอย่างถือว่าสำคัญหมด สิ่งที่ท่านพูดทั้งหมด ตำรวจจะต้องไปชี้แจงในชั้นศาล แต่คดีเพิ่งเกิดจับคนร้ายได้รวดเร็วถือเป็นประโยชน์ในการคลี่คลายคดี จากท่าทีผู้ต้องหาดูค่อนข้างเครียด ตนไม่ได้ถามรายละเอียดในการก่อเหตุ ยังไม่ได้มีการสอบปากคำแต่รีบนำตัวเพื่อมาส่งให้ถึงมือผบช.น.โดยเร็วที่สุด
โดยทาง ผบช.น.ได้ดำเนินการดูแลกรณีดังกล่าวไม่ให้มีการฆ่าตัดตอน ทางพยายามจะรวบรวมพยานหลักฐาน ผู้ต้องหากับผู้เสียชีวิตรู้จักกันหรือไม่ตนไม่ทราบ เชื่อว่าในเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีช่องทางของการตรวจสอบรับตัวมาถึงพนักงานสอบสวน ถามว่าผู้ต้องหาเคยไปกัมพูชาหรือไม่นั้น เมื่อถึง สน.ชนะสงคราม ผบช.น. และพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหา รู้แค่ผู้ตายกับภรรยามาท่องเที่ยวเท่านั้น
ด้าน พล.ต.ท.สยาม กล่าวว่า ภรรยาของผู้เสียชีวิตไม่รู้จักผู้ต้องหาแต่อย่างใด เหตุซึ่งหน้าหรือล็อกเป้า ไตร่ตรองไว้ก่อนก็คิดว่าน่าจะมีการวางแผนเอาไว้แล้ว ส่วนแชตผู้ต้องหา เกี่ยวกับผู้ต้องหาถ้าเป็นประโยชน์ก็จะดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง เอาปืนฝากน้องสาวนั้น หลังรับตัวจะนำไปสอบปากคำเกี่ยวข้องกับใครบ้างก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ตนต้องสอบสวน ชัดเจนของรายละเอียดผู้สื่อข่าวบอกมาขอสอบสวนผู้ต้องหาก่อนว่ามีรายละเอียดอย่างไร เกี่ยวกับใครหรือไม่
ด้าน พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เปิดเผยภายหลังจากที่ควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ มาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม ว่า จากการสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งประเด็นหลักที่ผู้ต้องหายังคงกังวลคือเกรงว่าญาติพี่น้องจะรู้เรื่องจากเหตุการณ์นี้ แต่ได้มีการให้พบทนายความและพูดคุยจนกระทั่งนายเอ็มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นจนสามารถให้การกับพนักงานสอบสวนได้บ้างแล้ว
โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ตอนแรกมีความกังวล เครียด ว่าญาติพี่น้องรู้หรือไม่ ช่วงแรกแจ้งว่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่เมื่อมาถึง สน.ก็ผ่อนคลาย ได้พบกับทนายความและเขาก็เดินมาประสงค์สมัครใจให้การเอง ก็ให้เขาเล่า เปิดใจให้เขาผ่อนคลาย เป็นประโยชน์กับรูปคดี ค่อนข้างตรงกับกล้องวงจรปิด และพยานหลักฐานที่มี บางประเด็นบอกไม่รู้ เช่นไม่รู้ชื่อจริง รู้แต่ชื่อเล่น และอนุญาตให้เราเข้าถึงข้อมูลทางโทรศัพท์ อธิบายข้อความแชตต่างๆ คืออะไร
ส่วนการที่จ่าเอ็มกังวลเรื่องความปลอดภัย กลัวอะไร พล.ต.ต.อัฏธพร ระบุว่า เพราะเขาไม่รู้ใครเป็นใคร เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ จนได้เจอกับทนายความสักระยะ และให้ของว่าง ให้น้ำทาน เขาไม่กลัว กังวลเพราะไม่รู้ว่าการที่เขาถูกสอบสวน ถูกถามหลายครั้ง ก็ไม่สบายใจ ทนายที่มา ก็เป็นทนายจากกรมคุ้มครองสิทธิ ก็คุยจนให้ความไว้วางใจ ซึ่งได้ให้การเป็นประโยชน์ แต่อยู่ในสำนวน ทำให้การสอบสวนเราง่ายขึ้น เบื้องต้น เขาบอกว่า เขารับงานมาจากบุคคลที่เคยช่วยที่เคยช่วยเขา ผู้มีพระคุณของเขา ไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนใดๆ ทำเพื่อที่จะเห็นว่ายามเขาเดือดร้อน ถูกออกจากราชการ ก็มีคนนี้สนับสนุน ให้เงินให้ทอง โทรไปปรึกษาก็ได้ทุกครั้ง เมื่อผู้มีพระคุณขอร้องมา ก็ตัดสินใจอยู่สักระยะ จึงรับปาก กะว่าจะทำใช้หนี้บุญคุณ
ส่วนผู้มีพระคุณเป็นพลเรือน ข้าราชการ หรืออดีตราชการ พล.ต.ต.อัฏธพร เปิดเผยว่า เป็นพลเรือน ตอนนี้ผู้ต้องหา อดนอน เบื้องต้นสับสนตัวเอง เวลาก็จำไม่ได้ เราใช้ความอดทน และพยายามให้เขาผ่อนคลาย ประเด็นเรื่องการสอบสวน มีความกระจ่างระดับหนึ่ง คงไม่ได้ทั้งหมด เพราะเขาก็เดินทางมา 8-10 ชั่วโมง หลายทอด และกังวล ขนาดว่า คนใกล้ชิดเขาจะมาขอพบ ยังไม่ประสงค์ โดยเขาได้แจ้งว่า ไม่ประสงค์พบใครเลย อยากอยู่คนเดียว เมื่อถามว่า อยากได้นักจิตวิทยาหีือไม่ ซึ่งการสอบสวนเราต้องใช้ศิลปะพอสมควร ให้เขาพัก เมื่อให้การเป็นประโยชน์ค่อยสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้ความร่วมมืออย่างดี แต่เขาเรียบเรียงเนื้อหาไม่ถูก บางครั้งก็จำผิดๆ ถูกๆ เป็นอาการของคนเครียดและพักผ่อนน้อย การทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เขาแจ้งว่า ไม่ประสงค์จะทำแผน เนื่องจากไม่อยากพบเจอใคร แต่ยินดีจะเปิดวิดีโอและพูดอธิบาย ก็ให้เขาเรียบเรียง เขาขอพัก สอบได้ไม่นานก็ขอสูบบุหรี่ ขณะนี้ให้พักอยู่
เมื่อถามถึงผู้มีพระคุณ ได้พูดคุยกันเมื่อไหร่ ถึงตัดสินใจไปเอาปืนมา พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 24 ชั่วโมง จากคำให้การ ก็สอดคล้องกับข้อมูลในโทรศัพท์และแชตไลน์ ครั้งแรกที่ร้องขอ เขายังไม่รับปาก มีการโทรมาเร้าหรือ ปรากฏข้อมูลในโทรศัพท์ว่ามีจริง ไลน์มา จนเขาตัดสินใจว่าทำครั้งเดียว ใช้หนี้บุญคุณกัน ส่วนผู้มีพระคุณ เป็นคนไทยหรือไม่ อยู่ในสำนวน ตอบไม่ได้ ส่วนในเรื่องคดีต้องพิสูจน์ต่อไป
พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวอีกว่า จากนี้เราต้องนำคำให้การผู้ต้องหาไปวิเคราะห์ แต่ส่วนหนึ่งตรงกับวัตถุพยาน เราจะเก็บข้อมูลจากโทรศัพท์มาวิเคราะห์ เราไม่เชื่อ แต่เขาประสงค์จะให้การ ข้อมูลที่ได้ก็เป็นเพียงคำให้การผู้ต้องหา ต้องนำไปพิสูจน์อีก เขาพูดๆ และก็หยุดคิด พอถามต่อก็อ้างว่าไม่พร้อม สำหรับข้อมูลของเหยื่อนั้น มีการพิมพ์ไลน์มาบอก เป็นภาษาไทย แต่งตัวอย่างไร พิมพ์ไลน์มาบอก เป็นระยะ ว่าเป้าหมายเป็นแบบนี้ มาอย่างนี้ ออกเดินทางแล้ว ถึงนี่ๆ
ส่วนรู้จักกับชาวกัมพูชาได้อย่างไรนั้น จ่าเอ็มยังให้การไม่ถึง ให้การไปแล้วพัก บางประเด็นเขาสะดวกใจก็ให้การ บางประเด็นเขาก็ขอไปสูบบุหรี่ พอจะถามแล้วถ้าเขายังไม่เต็มใจ ก็จะขอสูบบุหรี่ก่อน แต่เป็นสิทธิผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างไรก็ได้ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เทคนิคในการสอบสวนพอสมควร แต่ละประเด็นที่เราอยากสอบ เราก็ไม่ได้ทั้งหมดที่อยากได้เช่นเดียวกัน ต้องไปวิเคราะห์ในมือถือ อย่างอื่นต่อ รวมทั้งเส้นทางการเงิน บางเรื่องก็สอดคล้อง บางเรื่องก็ยังไม่ตรง อาจจะจำไม่ได้ หรือเจตนาให้การไม่ตรง ส่วนเส้นเงินเขาให้การมาหมดแล้ว บางอย่างตรงกัน ว่าโอนกี่ครั้ง บางอย่างก็ไม่ตรง ส่วนการเดินทางไปกัมพูชา เขาบอกไม่เคยเดินทางไป ให้ข้อมูลว่า จะมีไลน์มาบอกให้ไปตรงนั้น ก็ตรง เป็นไลน์ของคนที่เขาไม่รู้จัก
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ครั้งแรกผู้ต้องหาได้ปฏิเสธ ก่อนจะถูกผู้มีพระคุณพยายามโทรตื๊อจนทำให้ต้องตอบตกลงรับงานในราคา 60,000 บาท และจ่ายมัดจำมาก้อนแรก 30,000 บาท จึงเอาเงินจำนวนนี้ ไปไถ่ปืนที่จำนำไว้ในราคา 2,000 บาท