ตำรวจไซเบอร์แถลงขยายผลจับหญิงวัย 51 ปี อีกรายทำหน้าที่รวบรวมพาบัญชีม้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง “ชาล็อต” โอนเงิน 4 ล้านบาท
วันนี้ (23 ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รรท.ผบก.สอท.3 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าปฏิบัติการล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวง “ชาล็อต ออสติน” สูญเงิน 4 ล้านบาท ขยายผลต่อเนื่องจับกุมผู้รวบรวมบัญชีเพิ่มอีก 1 ราย
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก. สอท.1 ได้สืบสวนกรณีน.ส.ชาล็อต ออสติน นางงามมิสแกรนด์ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินจำนวน 4 ล้านบาท จนสามารถจับกุมตัวน.ส.ปาริฉัตต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นบัญชีม้าแถวแรก และมีการข้ามแดนไปสแกนหน้า ที่ฝั่งประเทศกัมพูชา และ นายอาทิตญา อายุ 43 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมบัญชีม้า จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ทำให้ทราบถึงผู้ที่รวบรวมบัญชีอีก 1 ราย ที่พาบัญชีม้าไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชา
ต่อมาวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.1 จึงได้ติดตามจับกุมจนสามารถจับกุมตัวนางจันทร์ทา (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 6294/2567 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2567 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ ด้วยการขู่เข็ญ ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือ ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยเป็นการกระทำต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด เป็นธุระจัดหาโฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการขายบัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใดและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยจับกุมตัวพร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือและซิมโทรศัพท์อีก 2 ซิม ได้ที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ต.บางศรีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นผู้ที่รวบรวมบัญชีม้าและพาบัญชีม้าไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชา
เบื้องต้นนางจันทร์ทาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และพร้อมให้การที่เป็นประโยชน์ โดยนางจันทร์ทา ให้การว่า ตนเคยถูกว่าจ้างให้เปิดบัญชีและไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชามาก่อน หลังจากที่บัญชีถูกอายัดแล้ว จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย แต่ก็ยังติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการที่รู้จักกันที่กัมพูชาอยู่ จึงผันตัวมาเป็นคนกลางผู้รวบรวมบัญชีม้า แล้วส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีดังกล่าวพบว่าปลายทางเส้นเงินของชาล็อตไปอยู่ที่ชาวต่างชาติแถบเอเชียรายหนึ่ง โดยพบว่าเป็นเส้นเงินที่ถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลของชาล็อต จำนวน 800,000 บาท และของเคสหลานอายุ 17 ปีกับย่าจำนวน 3.4 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับบุคคลดังกล่าวแล้ว ซึ่งคาดว่าหากสามารถจับกุมได้ก็จะติดตามเงินดิจิทัลกลับคืนมาได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มบัญชีม้าในขบวนการดังกล่าวยังเชื่อมโยงอีกหลายคดีรวมแล้วกว่า 125 เคสไอดี และจากการสืบสวนขยายผลพบว่าบัญชีม้าขบวนการนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงคดีหลอกลงทุนห้างทอง “ฮั่วเซ่งเฮง” อีก 30 เคสไอดี มูลค่าความเสียหายกว่า 5.5 ล้านบาท
โดยขบวนการดังกล่าวมีพฤติการณ์การหลอกลวงแตกต่างออกไปกว่า 10 รูปแบบ อาทิ หลอกเป็นทนายอาสาหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่สามารถตามทรัพย์ที่เสียหายคืนมาได้ คดีคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นหน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐข่มขู่ให้เกิดความกลัวแล้วให้โอนเงิน หลอกเป็นบุคคลที่รู้จักแล้วยืมเงิน เป็นต้น
เบื้องต้นทางตำรวจไซเบอร์ได้มีการประสานไปยังห้างทองฮั่วเซ่งเฮง และได้รับการยืนยันว่าไม่เคยมีการเปิดลงทุนออนไลน์แต่อย่างใด จึงฝากเตือนประชาชนที่สนใจการลงทุน ต้องไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์เร่งทำการสืบสวนสอบสวนติดตามและขยายผลเพื่อดำเนินการต่อไป