ตำรวจ ปอท. เรียกเศรษฐีนีวัย 92 ปี ให้ปากคำ หลังทายาทคนโต แจ้งความดำเนินคดีน้องคนเล็ก แอบถอนเงินในบัญชีแม่กว่า 98 ล้านบาท ด้านทนายของพี่คนโต สงสัยอัยการให้ตำรวจสอบเพิ่มทั้งที่เจ้าทรัพย์ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เผยพบพิรุธวงจรปิดจับภาพทนายฝั่งผู้ต้องหาถือถุงกระดาษเข้าไปในสำนักงานอัยการ
วันนี้ (18 ธ.ค. ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางปรีญา พี่สาวพร้อมด้วย นางบุญยืน น้องสาว และ นางปิ่น อายุ 92 ปี มารดา เข้าพบ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมตามคำสั่งพนักงานอัยการอาญาธนบุรี ในคดีที่ นางปรีญา เคยแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับ นางบุญยืน และ สามี ของนางบุญยืน หลังพบว่าทั้งสองร่วมกันถอนเงินออกจากบัญชีของ นางปิ่น มารดา โดยมิชอบ
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก นางปิ่น ผู้เป็นแม่ เป็นเศรษฐีนี มีที่ดินปล่อยเช่าย่านสุขุมวิทจำนวนมาก ก่อนจะป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เมื่อปี 2560 ต่อมาเมื่อปี 2566 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้มีคำสั่งให้ นางปิ่น เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากอาการป่วยอัลไซเมอร์ พร้อมให้ นางปรีญา บุตรสาวคนโต และ นางบุญยืน บุตรสาวคนเล็ก เป็นผู้อนุบาลหรือผู้ดูแลนางปิ่น
ต่อมา นางปรีญา ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของเงินในบัญชีธนาคารของนางปิ่น ที่มีเงินเหลือในบัญชีเพียง 2 ล้านบาท ทั้งที่ปกติแล้วในช่วงหลายปีหลัง นางปิ่น จะมีเงินรายได้จากค่าปล่อยเช่าที่ดินย่านสุขุมวิท เข้ามาเดือนละ 1.2 ล้านบาท หรือ ตกปีละ 10 กว่าล้านบาท จึงน่าจะมีเงินเก็บสะสมมากกว่าเงิน 2 ล้านทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเงินที่เหลือหายไปได้อย่างไร
เมื่อทำการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่า เงินในบัญชีธนาคารของ นางปิ่น ถูกถอน ระหว่าง ปี 2559 - 2566 จำนวน 311 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 98 ล้านบาท จึงนำเรื่องเข้าแจ้งความ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2566 เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ต่อมาผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าผู้ที่ถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของ นางปิ่น คือ นางบุญยืน ลูกสาวคนเล็ก และ สามีของนางบุญยืน จึงแจ้งข้อหาทั้งสอง ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์เป็นปกติธุระ,ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบฯ และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานส่งฟ้องต่อสำนักงานคดีอาญาธนบุรี เมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ก่อนที่ต่อมา พนักงานอัยการอาญาธนบุรี จะมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนเชิญตัว นางปิ่น เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงในคดี มาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง เกี่ยวกับประเด็นเงินรายได้จากการปล่อยเช่าที่ดินต่าง ๆ รวมถึงรายได้อื่น ๆที่เคยได้รับในแต่ละเดือน เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด จนนำมาสู่การเชิญตัวนางปิ่นมาเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อวานที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามจากการสอบถาม ทนายความส่วนตัวของ นางปรียา เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายวิเชียร กล่าวว่า การที่อัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน เชิญตัวนางปิ่น มาสอบปากคำเพิ่มเติมนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ว่าเหตุใดจึงมีการเชิญตัวนางปิ่นมาให้ปากคำ เนื่องจากว่า นางปิ่น นั้นเป็นบุคคลไร้ความสามารถตามคำสั่งของศาลเยาวชนและครอบครัว จากอาการป่วยอัลไซเมอร์ ประกอบกับก่อนหน้านี้ เคยมีกรณีมีผู้พบเห็นทนายฝั่งผู้ต้องหานำสิ่งของเป็นถุงกระดาษสีแดงเข้าไปในสำนักงานอัยการเมื่อวันที่ 17 และ 18 ก.ย.67 โดยมีหลักฐานเป็นภาพวงจรปิด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำเรื่องร้องขออัยการสูงสุดเพื่อให้เปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบในคดีนี้ไปแล้วตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา แต่จนถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านมานานร่วม 3 เดือนกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงยิ่งทำให้เกิดข้อเคลือบแคลงสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก