xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นอิทธิพลแทรกแซง! เมีย "ส.จ.โต้ง" ร้องกองปราบรับโอนคดีสามีถูกยิงตายในบ้าน"โกทร"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



"อัจฉริยะ" เมีย "ส.จ.โต้ง" ร้องกองปราบรับโอนสำนวนคดีคลี่ปมการตาย พร้อมขอกำลังคุ้มครองพยาน หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม สงสัย "โกทร" อยู่เบื้องหลังบงการฆ่า

วันนี้ (13 ธ.ค. ) ที่ กองปราบปราม น.ส.ณภาภัช อัญชสาณิชมนหรือ ส.จ.จอย ภรรยา นาย​ชัยเมศร์​ สิทธิสนิทพงศ์​ หรือ ส.จ.โต้งที่ถูกยิงเสียชีวิต และ บุตรชาย พร้อมด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือ ทนายเอี้ยง เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม รอง ผบก.ป. เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ขอให้รับโอนสำนวนคดีการเสียชีวิตของ นายชัยเมศร์ หรือ ส.จ.โต้ง ที่ถูกยิงตายในบ้านพักของ นายสุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี มาอยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจกองปราบปรามเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี

นายนิติศักดิ์ กล่าวว่า อดีตตนเคยเป็นทนายความให้กับ ส.จ.โต้ง หลังเกิดเหตุ น.ส.ณภาภัช หรือ ส.จ.จอย ได้ติดต่อมาหา เพราะเขาอยู่ในพื้นที่ เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย และ เกรงว่าคดีจะโดนแทรกแซงทางจากผู้มีอิทธิพล ไม่ใช่ว่าตำรวจท้องที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งเราก็ชื่นชมเพราะหลังเกิดเหตุสามารถจับกุมคนร้ายได้ทันควัน แต่เนื่องจากคดีนี้มีนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีความคุ้นเคยกับตำรวจท้องที่ ทาง น.ส.ณภาภัช จึงอยากให้กองปราบที่เป็นหน่วยงานจากส่วนกลางรับโอนสำนวนคดีมาดำเนินการแทน ผิดถูกว่าไปตามข้อเท็จจริง ใครที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องถูกดำเนินคดีให้หมด

นายนิติศักดิ์ กล่าวต่อ จากหลักฐานคลิปเสียงที่ปรากฎออกมา ค่อนข้างชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่จะผิดจะถูกก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง ถ้าเขาบริสุทธิ์ใจจริง เขาก็ต้องได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้หากกองปราบรับทำคดี ถ้าต้องการให้ช่วยติดต่อประสานพยานบุคคลมาสอบปากคำเพิ่มเราก็พร้อมให้ความร่วมมือ

ส่วนกรณีเรื่องกล้องวงจรปิดภายในบ้าน ถ้าไม่ได้เสียก็เอามา ข้อเท็จจริงจะได้ปรากฎ แต่ถ้าอ้างว่าพังนั้น ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด พร้อมมั่นใจว่าคดีนี้อยู่ในมือกองปราบ ข้อเคลือบแคลงหลายๆอย่างจะกระจ่างได้


ขณะที่ น.ส.ณภาภัช กล่าวว่า หลังเกิดเหตุยังไม่เคยพูดคุยกับ นายสุนทร หรือ โกทร และไม่พร้อมที่จะเจอ หรือ พูดคุย ส่วนเรื่องลงเล่นการเมืองหลังจากนี้ ต้องรอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้พูดคุย มีปรึกษาแค่เรื่องงานศพ ยอมรับว่า กลัวมาก เพราะอยู่กันลำพังสองแม่ลูก ปัจจุบันให้ญาติมานอนเป็นเพื่อน

"ทั้งนี้ยอมรับว่า ที่ผ่านมา สามีกับโกทร ทะเลาะกันเป็นประจำ แต่ทุกครั้งก็จบกันด้วยดี ด้วยความที่ ส.จ.โต้ง นับถือเขาเป็นพ่อบุญธรรม เขารักมาก นับถือกันมากว่า 20 ปี ซึ่งในวันเกิดเหตุ ทราบว่าเข้าไปในบ้านคนเดียว ตั้งใจจะส่งโกทร เข้านอน หลังเคลียร์ใจกันเสร็จแล้ว ตอนเข้าไปก็ไม่มีอาวุธปืน ดังนั้นเสียงปืนที่ดังขึ้นไม่ใช่จากสามีก่อนแน่นอน ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีผู้บงการหรือไม่นั้นไม่ทราบ แต่จากบาดแผลที่พบ ค่อนข้างเยอะมาก ทั้งที่ศรีษะ ใบหน้า ลำตัว โหดร้ายเกินไป และเป็นการยิงโดยที่เขาไม่สามารถต่อสู้เลยได้เลย"น.ส.ณภาภัช กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงระหว่างที่ ส.จ.โต้ง กับ โกทร โต้เถียงกันนั้น โกทร เสียใจร้องไห้ ก่อนจะมีการพูดเคลียร์ใจกันภายหลัง จริงหรือไม่นั้น น.ส.ณภาภัช ยอมรับว่า เรื่องโกทร ร้องไห้ เป็นเรื่องจริง และ จากที่ได้รับฟังจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น ทราบว่า ส.จ.โต้ง ได้ขอโทษ ก้มลงกราบเท้าโกทรไปแล้ว ส่วนการเสียชีวิตของสามี ย่อมได้รับผลกระทบ เพราะเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว ถ้าใครรู้จักจะรู้ว่าเขามีแต่ให้ แม้จะบุคลิกดูขี้โวยวาย แต่ถ้ารู้จักหรือสนิทกัน จะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ส่วนเรื่องที่มีผู้ทาบทามไปสังกัดอยู่พรรคการเมืองอื่นเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบข้อมูล เพราะหน้าที่เราคืออยู่หลังบ้านคอยซัพพอร์ตเขา เรื่องงานหรือปัญหาเชิงลึกเขาไม่ได้เล่าให้ฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันเกิดเหตุ ส.จ.โต้ง มีตำรวจติดตามไปที่บ้านของโกทรด้วยหรือไม่ น.ส.ณภาภัช ตอบว่า ข้อมูลส่วนนี้ตนไม่ทราบว่ามีใครไปด้วยบ้าง เพราะรู้เรื่องอีกทีคือตอนที่สามีถูกยิงเสียชีวิตแล้ว ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวอ้างว่า ส.จ.โต้ง เคยมีปัญหาส่วนตัวทะเลาะกับมือปืนผู้ก่อเหตุนั้น เรื่องนี้ไม่ทราบข้อมูล แต่ถ้าแค่ตบหัวจะถึงกับต้องยิงกันเลยหรือ

ด้าน นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนกับ ส.จ.โต้ง สนิทกันเหมือนพี่น้อง หรือคนในครอบครัว ดังนั้นคดีนี้ตนไม่ยอมให้ตายฟรีแน่นอน หลังเกิดเรื่องได้จัดทีมทนายไว้ 2 ชุด มาคอยช่วยเหลือทางคดี และ ที่มาในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้โอนสำนวนคดีมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบ ก่อนหน้านี้ได้ประสานกับทางกองปราบไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่มายื่นอย่างเป็นทางการเท่านั้น

"จากข่าวที่ปรากฎผู้ต้องหามีเพียง 7 คน ซึ่งแท้จริงแล้วควรจะมี 9 คน เพราะตอนเกิดเหตุฝั่งนั้นมีคนอยู่ในบ้าน

9 คน และทราบมาว่า 1 ใน 2 คนที่เหลือ เป็นคนใช้อาวุธปืนจี้ข่มขู่ลูกน้อง ส.จ.โต้ง ที่จะเข้าไปช่วย ส่วนอีกคนเป็นคนคอยเปิดปิดประตู ดังนั้นจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ และ เท่าที่ทราบมา 2 คนที่ว่า คนหนึ่งเป็นหลานของโกทร อีกคนเป็นลูกเขย"นายอัจฉริยะ กล่าว

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ถ้าคดียังอยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจท้องที่ เกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากว่ากลุ่มผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล สามารถแทรกแทรงตำรวจได้ และ ตำรวจที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่นั้น ก็ต้องผ่านนักการเมืองกลุ่มนี้อยู่แล้ว เพราะเขายิ่งใหญ่มีอิทธิพลค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าคดีมาอยู่ในมือหน่วยงานส่วนกลางจะยุติธรรมมากกว่า และวันนี้เองนอกเหนือจากการมายื่นขอให้โอนสำนวนคดีแล้ว ยังได้ยื่นขอคุ้มครองพยาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้กับ ภรรยาและลูกของ ส.จ.โต้ง อีกด้วย

"ก่อนเสียชีวิต ส.จ.โต้ง เคยเล่าปัญหาต่างๆให้ฟังมาตลอด และผมขอยืนยันว่า ที่ตำรวจบางนายพูดว่า ส.จ.โต้ง เดินขึ้นไปส่งโกทรข้างบนก่อนแล้วถึงโดนยิง ไม่จริง เพราะแท้จริงแล้วเขาเพิ่งเดินขึ้นบันไดไปได้เพียงแค่ 2 ขั้น ไม่ทันได้ขึ้นไปส่งแต่อย่างใด ดังนั้นความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า โกทร มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน ถ้าเขาไม่สั่งแล้วใครจะกล้าทำ"นายอัจฉริยะ กล่าว

นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า ส่วนคลิปเสียงการโต้เถียงกัน เกิดจากก่อนหน้าที่ ส.จ.โต้ง จะเข้าไปพบ โกทร เพื่อเจรจาปัญหา เขาได้โทรศัพท์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ไปหาผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไว้ใจแล้วเปิดสายทิ้งไว้เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ฟังหรือรับรู้ปัญหา ทางผู้ใหญ่คนดังกล่าวก็เลยบันทึกเสียงเก็บไว้ พอเจรจากันเสร็จจึงวางสายแล้วเดินเข้าไปในบ้านใหม่อีกครั้ง

นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ตนทราบดีว่าผู้ใหญ่คนที่บันทึกเสียงคือใคร แต่ไม่ขอเปิดเผย เช่นเดียวกันในคดีนี้ยังมีพยานบุคคลสำคัญอีกหลายคน แต่จะเก็บไว้ก่อน รอพามาให้ปากคำกับทางตำรวจกองปราบเพียงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการโอนสำนวนคดีมาอยู่ในความรับผิดของกองปราบจะมีผลกระทบทำให้เกิดรอยต่อและความล่าช้าหรือไม่นั้น นายอัจฉริยะ ตอบว่า ไม่เป็นกังวล เพราะทราบว่าขณะนี้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. นำตำรวจกองปราบ ลงไปช่วยสืบสวนทางคดีอยู่ก่อนแล้ว และ มั่นใจว่าทีมงานกองปราบมีประสิทธิภาพมากพอที่จะดำเนินการต่อเนื่องได้ในทันที

“คดีนี้เรากำลังต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งของประเทศ ดังนั้นการทำงานต้องระมัดระวัง และ รอบครอบ” นายอัจฉริยะ กล่าว


ภายหลังจากการยื่นหนังสือ นายอัจฉริยะ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการโอนสำนวนคดีมาที่กองบังคับการปราบปราม เบื้องต้นได้มีการปรึกษากับตำรวจ คาดว่าภายใน 2-3 วันนี้จะมีความชัดเจน

เมื่อถามว่าเหตุใดถึงมีตำรวจคอยติดตามสจ.โต้ง นายอัจฉริยะ ระบุว่า ที่ผ่านมาสจ.โต้งได้มีการระมัดระวังตัวเองมาตลอด แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายในบ้านหลังนั้น

ด้าน สจ.จอย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ก็ยังกังวลเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต โดยหลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนกำหนดการฌาปนกิจศพของสจ.โต้ง จากเดิมวันที่ 17 ธ.ค. ไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น