xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ยื่นหนังสือสภาทนายความ พิจารณาสอบมรรยาท “ทนายษิทธา-ทนายเดชา”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“สนธิ” ยื่นหนังสือร้องเรียนสภาทนายความ พิจารณาสอบมรรยาท “ทนายษิทธา-ทนายเดชา” ยันจะดำเนินการอย่างสุดซอย ไม่เจรจาแน่นอน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (21 พ.ย.) ที่สภาทนายความ ถ.พหลโยธิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และเจ้าของรายการสนธิทอล์ค, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมทนายความ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนให้พิจารณาสอบมรรยาททนายความกับนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา กับ นายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความ จากนั้นจึงเข้าพบหารือกับ นายคณิต วัลยะเพ็ชร์ ประธานกรรมการมรรยาททนายความ โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

จากนั้น นายสนธิ ให้สัมภาษณ์ว่า ดีใจมากที่สื่อมวลชนและตนเองได้ช่วยกันนั้น ทำให้ความจริงปรากฏ และเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในสังคมไทย สิ่งที่ นายษิทธา ทำกับ น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย ไม่ใช่การฉ้อโกงหรือฟอกเงินอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการของคนที่รู้กฎหมาย แล้วใช้ความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย ซึ่ง น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย โดยเฉพาะที่มองว่าเป็นคนต่างจังหวัด ซึ่ง น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย ไปอยู่ต่างประเทศ 20 ปี บอกว่า รู้จักนายษิทธาจากโพสต์เฟซบุ๊ก ลักษณะการโพสต์เป็นการอวยตัวเอง ซึ่งตนมองว่า หมดยุคหมดสมัยแล้วที่ทนายต้องมาโอ้อวดตัวเองในโลกออนไลน์ สิ่งที่ทำให้ตนเองต้องออกมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะความยิ่งใหญ่ในอดีตของทนายตั้ม ไม่มีใครกล้ามาแตะ แต่สำหรับตนแล้ว ไม่ว่าใครจะมีความยิ่งใหญ่แค่ไหน หากมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น ตนรับไม่ได้และจะจัดการเรื่องนั้น

นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนยังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่โดนทนายความหลอกเป็น 100 ราย บางรายเป็นทนายความที่โดนไล่ออกแล้ว ประชาชนบางคนถูกหลอกจนหมดเนื้อหมดตัว ตนจึงรับไม่ได้แล้วความยิ่งใหญ่ของนายษิทธาในอดีตเป็นเรื่องที่คนไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่เขาเข้าใจผิด สำหรับตนแล้วจะใหญ่แค่ไหน ถ้าความอยุติธรรมเกิดขึ้น ตนก็จะไม่รีรอที่จะทำ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า น.ส.จตุพร ได้มอบอำนาจให้ตนดำเนินการเด็ดขาดกับเรื่องที่ได้แจ้งความนายษิทธาไว้ เกี่ยวกับคดีการฉ้อโกงและฟอกเงิน รวมทั้งมีอำนาจในการแต่งตั้งทนายความด้วย

นายสนธิ กล่าวอีกว่า กรณีนายษิทธานั้น ตนขอยืนยันว่า จะไม่มีการเจรจา จะดำเนินคดีไปจนสุดซอย ถ้ายังไม่ได้ผล หรือซอยตัน ก็จะทะลุซอย ทุบกำแพงออกแล้วเดินหน้าต่อไป เพราะเรื่องของ น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย เป็นเรื่องกรอบกระบวนการที่สร้างมาจากคนที่ฉลาดเรื่องกฎหมาย เพื่อเตรียมตัวจะสู้คดี เพราะรู้อยู่ว่าเมื่อโดนฟ้องจะสู้คดีอย่างไร

นายสนธิ กล่าวอีกว่า ภายในเดือนธันวาคมจะไปยื่นให้กรมสรรพากรตรวจสอบ ประเด็นเรื่องเงิน 71 ล้านบาท ที่นายษิทธา หรือ ทนายตั้ม ได้มา มีการเสียภาษีที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะว่าไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยเสน่หา เพราะว่าเป็นรายได้ที่จะต้องเสียภาษี 35 เปอร์เซ็นต์ และตนจะไปร้องเรียนประเด็นค่าจ้างที่ น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย โอนให้นายษิทธา เดือนละ 3 แสนบาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท แต่ นายษิทธา หรือ ทนายตั้ม กลับโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีพี่สาว จึงต้องการให้ตรวจสอบว่ามีการเสียภาษีหรือไม่ รวมทั้งอยากให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของพี่สาวเมียนายษิทธา หรือ ทนายตั้ม เพราะทราบมาว่ามีแม่บ้านเป็นผู้ถือบัญชีรับโอนเงิน จากนายษิทธาว่าเงินที่เข้าออกจากบัญชีดังกล่าว ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่

นอกจากนี้ นายสนธิ ยังกล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องเพื่อให้พิจารณาเอาผิดมรรยาททนายความกับทนายเดชา เนื่องจากกล่าวหาตนเองโดยที่ไม่มีพยานหลักฐาน เช่น กล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินธนาคาร ตบทรัพย์สายการบินใหญ่ของประเทศ หรือนักการเมืองอาวุโสรายหนึ่ง พร้อมกันนี้ ยังได้ยื่นพยานหลักฐานที่เป็นบรรดาโพสต์ Facebook ต่างๆ และการพูดวิเคราะห์ของทนายเดชา ซึ่งลืมตัวไปว่าเป็นทนายความ แต่ออกมาพูดสนุกปาก โดยตนหวังว่า ทางสภาทนายความจะให้ความเป็นธรรมในกรณีนี้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเพิ่มเติมว่า จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทนายเดชาด้วยหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ให้รอรับของขวัญจากตนได้เลยในเดือนธันวาคมนี้

โดยเชื่อมั่นว่า สภาทนายความในยุคนี้ จะพิจารณาความผิดกับทนายความทั้งสอง และจากการพูดคุยกับผู้บริหารสภาทนายความก็ทราบว่า ได้ดำเนินการทางมรรยาททนายความและลบชื่อทนายความออกหลายคนไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ประกาศสู่สาธารณะ ตนจึงเสนอไปว่า สภาทนายความควรต้องประกาศให้สาธารณชนรับทราบด้วยว่า ลบชื่อใครออกจากทะเบียนทนายความแล้วบ้าง

ภายหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้ว นายสุชาติ กล่าวว่า เราจะรับเอกสารไว้แล้ว หลังจากนี้ จะส่งให้ประธานกรรมการมรรยาททนายความ ซึ่งประธานมรรยาททนายความจะมอบหมายให้รองประธานมรรยาททนายความท่านใดท่านหนึ่งพิจารณาว่าจะรับคำกล่าวหาหรือไม่ ถ้ารับก็จะเข้าสู่กระบวนการตั้งกรรมการสอบสวน แต่ก่อนตั้งกรรมการสอบสวนจะต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบเพื่อแก้ต่างคำกล่าวหาก็จะทำให้การพิจารณาคดีมารยาททยายความรวดเร็วขึ้น คาดว่า จะใช้ระยะเวลา 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง ปกติแล้วการลงโทษก็จะมีตั้งแต่ตักเตือน, ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาตทนายความ 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 3 ปี หากรุนแรงสุดก็จะเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ แต่ผู้ถูกกล่าวหาสามารถอุทธรณ์กับ สภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ หรือ รมว.ยุติธรรมหรือฟ้องศาลปกครองได้

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สื่อมวลชน และคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาเปิดโปงถึงประเด็นข้อพิรุธของนายษิทธา หรือ ทนายตั้ม ที่ส่งพยานหลักฐานให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยได้ระบุถึงสัญญาว่าจ้างทำ Application ขายหวยออนไลน์ที่เป็นที่มาของเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มเป็นตัวกลางในการทำสัญญาดังกล่าว

ว่า 1. พบพิรุธสัญญาระหว่าง นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย กับ บริษัทจัดทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ เอกสารฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้น ซึ่งตอนแรกส่งไฟล์ผ่านไลน์และอีเมลชัดเจน และ ทนายตั้ม ขอปรับวงเงินและขอไฟล์ต้นฉบับมาเอง แต่ในเอกสารสัญญาฉบับนี้มีพิรุธ คือ มีการปรับไฟล์ในหน้าสุดท้ายของสัญญาก่อนลงนามมีพื้นที่ว่างจำนวนมากแทนที่จะมีลายเซ็นของ น.ส.จตุพร ในฐานะผู้ว่าจ้าง และกรรมการบริษัทในแผ่นเดียวกัน แต่กลับเลือกไม่ให้อยู่แผ่นเดียวกัน

2. ทนายตั้ม ไม่ได้ให้ลูกค้า 2 คน ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างมาพบกันสักครั้งเดียว ทำตัวเองเป็นคนกลางหลังจากนั้นให้บริษัทลงชื่อก่อนแล้วเก็บไว้กับตัว หลังจากนั้น ให้ พี่อ้อย ลงชื่ออีกแล้วเก็บสัญญาทั้ง 2 ฉบับไว้กับตัวเอง การลงนามทั้ง 2 ฉบับนั้น พบว่า วิธีการลงนามจะแยกระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างอยู่คนละแผ่น มีความสำคัญกับเรื่องพินัยกรรม การแยกแผ่นจะทำให้สามารถแก้ไข ปรับปรุง ดัดแปลง ต่อเติม ฉบับข้างหน้าได้ทั้งหมด แล้วไม่มีการเซ็นเอกสารทุกแผ่นซึ่งผิดวิสัยของนักกฎหมาย อีกทั้งไม่มีการติดอากรแสตมป์และไม่ส่งให้ลูกความได้รับทราบ

ตนไม่เคยเปิดเอกสารฉบับนี้มาก่อน เพราะเชื่อว่าอาจจะมีขบวนการตัดแต่งทำเอกสารฉบับใหม่ขึ้นมาในสำนวนหรือไม่ วันนี้เมื่อทนายตั้ม อยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนไม่ได้รับการประกันตัว ตนขอตั้งคำถามว่า ทนายตั้ม และ ทนายสายหยุด ได้ส่งเอกสารสัญญาฉบับอื่นที่มีการตัดแต่งไปให้ตำรวจหรือไม่ ที่สงสัยในสัญญาข้อ 1 ระบุว่า ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าสินจ้างเหมาตามสัญญานี้ให้แก่ผู้รับจ้างเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านยูโรก่อนเริ่มงาน ถ้าหากมีการยื่นเอกสารโดยตัดข้อความดังกล่าว ขอเรียกร้องให้ตำรวจสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติม

3. เรื่องพินัยกรรมที่หลายคนมองว่าไม่อาจเป็นคดีความได้ เพราะมีการลบไปแล้วนั้น อยากให้ตำรวจไปสืบสวนสอบสวนว่าที่ว่าทำลายเอกสารพินัยกรรมที่มีชื่อทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกหมดแล้วได้มีเอกสารฉบับดังกล่าวหลงเหลืออยู่ในสำนักงานและที่บ้านหรือไม่ ที่เป็นห่วงเพราะแม้พี่อ้อย ดำเนินการทำพินัยกรรมฉบับใหม่แล้วก็จริง แต่ถ้าเป็นฉบับเก่าแล้วมีใบปะหน้าแนบสัญญาแยกออกจากลายเซ็นต์ก็อาจจะสามารถทำพินัยกรรมขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น จะต้องหาหลักฐานให้มากขึ้นว่ามีกระบวนการเก็บ ซุก หรือซ่อนการกระทำพินัยกรรมโดยที่ ทนายตั้ม เป็นผู้จัดการมรดก และพี่อ้อยไม่ยินยอมหรือไม่ ซึ่งตอนนี้พี่อ้อยก็ประกาศออกไปแล้วว่าไม่ยิมยอม

4. ชัดเจนว่าก่อน ทนายตั้ม ถูกจับปรากฏว่าไปแวะเวียนที่หน้าบ้าน หรือในบ้านของ นายแจ็ค คนใกล้ชิด โดยที่ไม่อยู่ในบ้าน แต่สามารถเข้าออกบ้านได้ อยากแนะนำตำรวจว่าควรจะตรวจสอบทรัพย์สินของคนใกล้ชิดทนายตั้มด้วย ซึ่งตนเอง และ นายสนธิ เชื่อมั่นใน ผบช.ก. ผบก.ป.และคณะทำงานทุกคนในการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งหมด


กำลังโหลดความคิดเห็น