xs
xsm
sm
md
lg

อดีตผู้การชลบุรียื่นฟ้อง อดีต ผบช.ภ.2 สั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยไม่ชอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



อดีตผู้การชลบุรียื่นฟ้อง อดีต ผบช.ภ.2 อ้างตั้งกรรมการสอบสวนวินัยไม่ชอบตามพ.ร.บ.ตำรวจ -รอง ผบ.ตร.ขณะนั้นเข้าเเทรกเเซงคดีโดยไม่มีอำนาจ ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง 19 พ.ย.นี้

วันนี้ (1 พ.ย.) พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน อดีต ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เดินทางไปศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย อดีต ผบช.ภ.2 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตาม ป.อาญา ม.157 กรณีกลั่นแกล้งออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยต่อ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศฯ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

คำฟ้องโจทก์ระบุว่า ขณะเกิดเหตุ โจทก์ ดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี มีพื้นที่รับผิดชอบภายในจังหวัดชลบุรี ส่วนจำเลยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 มีอำนาจในการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการตำรวจภายในสังกัด มีพื้นที่รับผิดชอบ 8จังหวัด ในภาคตะวันออกเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ในขณะนั้น

เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2565 มีเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์ร่วมกันทำร้ายร่างกายกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายรายได้รับบาดเจ็บ โดยมีและใช้อาวุธปืน มีการใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่จังหวัดชลบุรีในหลังเกิดเหตุ โจทก์ในฐานะผู้บังคับการจังหวัด มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสวนสอบสวนโดยมี พันตำรวจเอก ส. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสืบสวนจำนวน 13 นาย โดยมี พันตำรวจเอก ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสื่อมวลชน

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2565 จำเลยในฐานะผู้บัญชาการตำรตำรวจภูรภาค 2 ได้มี คำสั่งตำรวจภูธรภาค 2 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนสวนรวม หลักฐานและขยายผลในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย พลตำรวจตรี อ. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โจทก์ พลตำรวจตรี ธ. เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน พันตำรวจเอก ช. เป็นเลขานุการและมีพนักงานสอบสวน รวมทั้งสิ้น 12 นาย ทั้งยังแต่งตั้งพนักงานสืบสวนอีกจำนวน 17 นาย

นอกจากนี้ พลตำรวจเอก ส. รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในขณะนั้น) ผู้ได้รับมอบอำนาจ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ลงมากำกับดูแลการสอบสวนสืบสวนและติดตามคดีด้วยตนเอง แต่ไม่ได้ให้อำนาจ พลตำรวจเอก ส. ให้มีอำนาจมอบหมายให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นเข้าทำการสืบสวนสอบสวนหรือ ติดตามคดีแทนได้ แต่ พลตำรวจเอก ส. กลับมีสั่งการด้วยวาจาให้ พันตำรวจเอก ข. ผู้กำกับการตรวจคนเข้า เมืองจังหวัด ต. (ในขณะนั้น) และพวกเข้าร่วมทำการสืบสวนสอบสวนโดยมิชอบ ด้วยการเป็นเจ้าพนักงานที่
แสดงตนเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนทั้งที่ตนเองไม่มีอำนาจหน้าที่นั้น อันเป็นความผิดตามมาตรา 171 แห่งพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561โดยมีเจตนา กลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ต้องถูกดำเนินคดีและให้ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย (กรณีนี้โจทก์ได้กล่าวโทษแล้วคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.)

จำเลยซึ่งเป็น ผบช.ภ.2ทราบข้อเท็จจริงตามข้อ 2 เป็นอย่างดี ทั้งยังยังทราบอีกว่า พลตำรวจเอก ส. ขณะดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565มาตรา 64 ประกอบคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนด
ลักษณะงานและการมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้ จเรตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 9 ) โดยได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นเพียงผู้รับผิดชอบ ควบคุม กำกับ ดูแลงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติข้างต้นให้ควบคุม กำกับ ดูแลการสืบสวนสอบสวนในคดีอาญาของสถานีตำรวจภูธร ม.

โดยทราบดีว่า พลตำรวจเอก ส. มิใช่หัวหน้าพนักงานสอบสวน ทั้งทราบดีว่า พลตำรวจเอก ส. ไม่มีอำนาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้บุคคลใดให้กระทำการแทนได้ อันเกี่ยวกับอำนอำนาจหน้าที่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนนั้น และทราบดีว่า พันตำรวจเอก ข. พันตำรวจเอก ศ. และ พันตำรวจโท ธ. มิใช่เจ้าพนักงานตำรวจในสังกัด ตำรวจภูธรจังหวัด ช. มิใช่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี เรื่อง แต่งตั้งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคดีอาญาของสถานีตำรวจภูธร ม. และมีใช่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของของตำรวจภูธรภาค 2 ผู้ที่จะมีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายในการรรบรวมพยานหลักฐานและแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา กับทั้งไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉบับใดแต่งตั้งให้พันตำรวจเอก ข. พันตำรวจเอก ศ. และ พันตำรวจโท ธ. กับพวก เป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้

การที่พลตำรวจเอก ส. ใช้ จ้างวาน ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือ มีคำสั่งให้ พันตำรวจเอก ข. พันตำรวจเอกศ.
และ พันตำรวจโท ธ. กับพวก เข้าแทรกแชงการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ เป็นการกระทำที่มิชอบและขัดต่อพรบ.ตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 63(4) 64และ มาตรา 107 มิชอบด้วยมติคณะรัฐมนตรี มิชอบด้วย คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มิชอบด้วย หนังสือ ตร. ด่วนที่สุด เรื่อง การดำเนินการตาม พรบ.ตำรวจ
แห่งชาติฯ มิชอบด้วยระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จำเลยผู้ดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ. 2ทั้งเคยดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกองบัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ย่อมต้องทราบเป็นอย่างดีว่าการที่ พลตำรวจเอก ส. ได้สั่งการให้ พันตำรวจเอก ข. และพันตำรวจโท ธ ฃ.กับพวก ที่ส่วนมากมีตำแหน่งในสังกัด สำนักงางานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เข้าแทรกแซงการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาในเขตพื้นที่ จังหวัด ชลบุรีเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายแต่ จำเลยกลับช่วยเหลือและให้การสนับสนุน พันตำรวจเอก ข. พันตำรวจเอก ศ. และ พันตำรวจโท ธ. เข้าแทรกแซงการสืบสวนสอบสวนในคดีของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 2และเมื่อ พันตำรวจเอก ข. ได้จัดทำรายงานการสืบสวนรายงานด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ จากพยานหลักฐานและด้วยวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายรายงานเสนอต่อ พลตำรวจเอก ส. และ จำเลย รวม 2 ฉบับ คือ ฉบับลงวันที่ 22 ต.ค. เเละวันที่ 25 ต.ค.2565 จากนั้น พลตำรวจเอก ส. ได้มีบันทึกสั่งการท้ายรายรายงาน
การสืบสวนฉบับลงวันที่ 22 ต.ค.2565 ถึง จำเลยว่า "ทราบ ดำเนินการตามเสนอ มอบ ผบช.ภ.2ดำเนินการ" และจำเลยก็ได้มีบันทึกสั่งการท้ายรายงานการสืบสวนเพิ่มเติม ฉบับลงวันที่ 25 ต.ค.2565
ถึง พลตำรวจตรี อ. รอง ผบช.ภ.2 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน "เพื่อทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานผลการสืบสวน หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และ รายงานผลให้ทราบภายใน 29ต.ค.65" เป็นการยืนยันและ สนับสนุนว่า จำเลย ร่วมกัน สั่งการ ใช้ จ้างวาน สมคบกัน ช่วยเหลือ และหรือ ให้การสนับสนุน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ พันตำรวจเอก ข. กับพวก กระทำความผิดดังกล่าว

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2565 จำเลยได้มีคำสั่งและมอบหมายให้ พันตำรวจเอก ช.เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเวลา17.05 น. ความว่า ได้รับคำสังจาก ผบช.ภ.2 (หมายถึง จำเลย) ให้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อ ดำเนินคดีกับ พันตำรวจเอก ก. รองผู้บังคับการตำรตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี

โดยจำเลยได้มีคำสั่งและมอบหมายให้
พันตำรวจเอก ช. เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และต่อมาเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2565
พันตำรวจเอก ช. ก็เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อโจทก์โดยอ้างมูลเหตุเดียวกันดังกล่าว

จากนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ ให้โจทก์ไปปฏิบัติราชการ
ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการ
ปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2565 จำเลยมีคำสั่งตำรวจภูธรภาค 2เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวน โดยมีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งให้มีการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อโจทก์ ทั้งที่จำเลยไม่มีอำนาจเนื่องจาก ขณะสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนั้นโจทก์ไม่ใช่ผู้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลย เพราะผู้บัญชากาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติฯให้โจทก์ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม

และโจทก์ก็ได้เดินทางไปรายงานตัวและปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงขาดจากการบังคับบัญชาของจำเลยไปแล้ว จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์ที่จะมีอำนาจสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ได้

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2565 จำเลยเป็นผู้มีคำสั่งและมอบหมายให้พันตำรวจเอก ช.เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี ให้ดำเนินคดีอาญา ต่อ พันตำรวจเอก ก. และเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2565 พันตำรวจเอก ช. ก็เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อโจทก์

ด้วยมูลเหตุเดียวกันดังกล่าวแล้วนั้น ดังนั้นโดยสถานะทางกฎหมายแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้กล่าวหาและร้องทุกข์
กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญากับ พันตำรวจเอก ก. และโจทก์ การที่จำเลยมีคำสั่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยต่อโจทก์ จึงมิชอบด้วย กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2547หมวด
1 การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้อ 3 ที่กำหนดว่า "ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการสอบสวนจะต้องไม่เป็นบุคคคลดังต่อไปนี้...(4) เป็นผู้กล่าวหา..."

อีกทั้งพฤติการณ์ของจำเลยยังเป็นผู้มีส่วนร่วม สั่งการ ใช้ จ้างวาน สมคบกัน ช่วยเหลือ และหรือ ให้การสนับสนุน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ พันตำรวจเอก ข. กับพวก จัดทำรายงานอันเป็นเท็จและไม่ชอบดังกล่าวข้างต้น แล้วจำเลยยังนำ รายงานที่ไม่ชอบดังกล่าวเป็นมูลฐานเพื่อสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อโจทก์ ย่อมเท่ากับว่ากับว่าจำเลยเป็นผู้รู้เห็นเหตุในเรื่องที่สอบสวน อีกทั้ง ยังเป็นกรณีที่มีเหตุอื่นซึ่งน่าเชื่ออย่างยิ่งว่าจะทำให้การ สอบสวนเสียความเป็นธรรม ในกรณีนี้โจทก์ได้เคยมีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและโต้แย้งอำนาจพนักงานสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 2 ต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวม 2 ฉบับ การที่จำเลยมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อโจทก์ จึงมิชอบด้วย กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) (5) และ วรรคท้าย อีกด้วย

การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเจตนาที่ไม่ปฏิบัติตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติและ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้เพื่อตรวจฟ้อง เป็นคดีอาญาที่ อท 168/2567 และนัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง ในวันที่ 19 พ.ย.2567 เวลา 09.30 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น