"อัจริยะ" เผยรอวัน"ทนายตั้ม" สะดุดขาตัวเองล้มมา 6 ปี แย้มน่าจะถูกออกหมายจับโกง 71 ล้านเร็วๆ นี้ ให้กำลังใจอาจได้ไปอยู่ในเรือนจำกับ "บอสพอล" ย้ำใครทำอะไรไว้ต้องรับกรรมนั้น เตือนสติหากคิดเล่นงานใครตัวเองต้องขาวบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นดาบจะคืนสนอง
วันนี้ (30 ต.ค.)ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวถึงกรณีของนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ว่า ได้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามกับตัวเองเยอะ ทั้งนี้หากอยากจะถามอะไรให้ถามมา เพราะได้พูดคุยกับทนายตั้มแล้วได้รับการอนุญาตเรียบร้อยแล้ว
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เรื่องของทนายตั้มในคดีพรากผู้เยาว์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อณัฐวุฒิ คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจซึ่งเป็นเยาวชน มีการออกหมายจับทั้งหมด 4 ราย โดย 3 คนแรกได้ถูกจับกุมขึ้นศาล ศาลยกฟ้อง ต่อมาทนายคนดังได้ไปมอบตัวอัยการสั่งไม่ฟ้องและคดีถึงที่สุด เท่ากับว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ต่อมามี พ.ร.บ.ล้างมลทิน ก็มีการลบประวัตินี้ออกไป จากนั้นในปี 2547 ก็ได้ตั๋วทนายความ
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ตนจับมือกับทนายตั้มนั้นการจับมือเพื่อยุติคดีระหว่างตัวเองกับเขา ไม่ได้มีการตกลงว่าจะมีการช่วยเหลืออะไรกันต่อไป เพราะบอกเสมอว่าไม่ว่าใครทำอะไร ทุกคนต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ซึ่งเรื่องคดีของทนายตั้มก็ต้องว่ากันไป ตัวเองจะไม่ซ้ำเติมเขา หากถามว่าตัวเองรู้หรือไม่ว่ามีการเรียกเงินจากเจ๊อ้อย ขอบอกว่ารู้มานานแล้ว และไม่ใช่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวยังมีอีกหลายเรื่องที่ได้มีการต่อสู้กับทนายคนนี้มานาน 6 ปี
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า หากดูเอกสารฉบับนี้ในปี 2561 ได้เคยยื่นไปกรณีที่ได้ใช้ชื่อ ณัฐวุฒิ ยืนยันว่าได้ทำมาตั้งแต่แรก ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนทำให้ทนายคนดังถูกออกหมายจับ 2 หมาย โดยได้แจ้งความไว้ 3 คดี คดีแรกเกี่ยวกับกรณี พ.ร.บ.ยาเสพติดที่ร่วมกับตำรวจในการทุจริตโดยอ้างว่าสามารถช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดียาเสพติดได้ อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว คดีที่ 2 ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 อัยการสั่งไม่ฟ้องอีกเช่นกัน ยังเหลืออีกคดีที่ได้ร่วมมือกับตำรวจ สภ.แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาครเรียกรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติด ซึ่งคดีนี้ยังค้างอยู่ที่อัยการทุจริตภาค 7 มานานถึง 4 ปี จึงอยากให้อัยการเร่งสรุปคดีโดยเร็วว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เพราะไม่งั้นจะถือเป็นการกระทำทุจริต
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ที่ออกมาพูดประเด็นดังกล่าว เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาสอบถาม ทนายตั้มก็อนุญาตให้ตัวเองพูดได้ เนื่องจากรู้เกี่ยวกับทนายคนนี้เป็นอย่างดีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินลูกความ 71 ล้านบาทหรือ 2 ล้านยูโร รวมทั้งประเด็นเรื่องรถและเงิน 39 ล้านบาท ก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่มองว่าเป็นเรื่องของคดีความ จึงไม่ขอพูดถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็นการซ้ำเติมเหมือนบุคคลอื่น เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม
"ผมไม่ได้รักหรือเกลียดกับทนายตั้ม การที่จับมือกันในวันนั้นเป็นเพียงการยุติคดีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันอีก แต่วันนี้เป็นวันที่รอคอย เพราะในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตอนที่เขาอยู่กับโจ๊ก ทุกคนก็เอาใจเขา เป็นผมถูกโจมตีและกล่าวหามาโดยตลอด ในวันนี้เมื่อถึงคราวของเขาบ้าง ก็มองว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมนั้นและความจริงก็คือความจริง เน้นย้ำว่าที่ออกมาพูดไม่ใช่เป็นการแฉทนายคนนี้ แต่เป็นการพูดตามที่สื่อมวลชนต้องการอยากรู้และทนายซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รวมทั้งต้องยอมรับความเป็นจริง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก"นายอัจฉริยะ กล่าว
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ทนายตั้มพูดในรายการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเงิน 71 ล้านบาทนั้นเป็นการเตี๊ยมกับพิธีกร ซึ่งตอนที่ได้ยินก็ได้แต่ยิ้มในใจ โดยหลังจากนี้เชื่อว่า อีกไม่นานเกินรอ ทนายตั้มน่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้ ในคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งส่วนตัวได้พูดให้กำลังใจเพียงแค่ว่า อาจจะได้เข้าไปอยู่กับบอสพอลในเรือนจำ ส่วนที่เหลือเขาจะจัดการอย่างไรต่อโดยเฉพาะเรื่องทางกฎหมาย เชื่อว่าเขาน่าจะรู้ตัวเอง
"ผมขอตั้งประเด็นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ที่ผ่านมาทนายตั้มสู้รบกับนักการเมืองหลาย ๆ คน รวมทั้งอดีตนายตำรวจระดับสูงไปเพื่ออะไร เพราะทราบดีว่าเขารับงานใครมาเพื่อโจมตีบรรดานักการเมืองและอดีตนายตำรวจ จึงอยากจะฝากเตือนว่า หากคิดจะเล่นงานใครต้องขาวบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะมิเช่นนั้น ดาบนั้นจะคืนสนอง"นายอัจฉริยะ กล่าว