รักษาการ ผบ.ตร.ติดตามความคืบหน้าคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" สั่งระดมพนักงานสอบสวนเร่งสอบปากคำผู้เสียหาย ขณะนี้สอบไปแล้ว 80 ปาก ยอดความเสียหายรวม 31 ล้าน ลั่นดำเนินคดีดาราร่วมเอี่ยว พร้อมประสาน ปปง.ยึดทรัพย์คืนเจ้าทุกข์
วันนี้ (10 ต.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บช.ก.ทั้งหมดเข้าร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดีบริษัทขายตรงแห่งหนึ่งที่มีดาราเป็นผู้บริหาร และคดีของ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือ ป๋าเบียร์ ที่หลอกขายทองไม่ได้มาตรฐาน พร้อมเข้าพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายคดีบริษัทขายตรงที่เดินทางเข้ามาให้ปากคำด้วย
ภายหลังจากการประชุมกว่า 1 ชม. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า สำหรับคดีของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ตนสั่งให้ บช.ก.จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนไว้ ในวันนี้เดินทางมาเพื่อดูว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากน้อยแค่ไหน และระดมกำลังพนักงานสอบสวนจาก บช.ก. ทั้งหมดให้เข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย เบื้องต้นมีการสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้ว 80 ปาก ทราบว่าส่วนใหญ่ถูกชักชวนให้ร่วมทำธุรกิจ และเป็นตัวแทนของบริษัทมีการให้เข้าอบรมซึ่งมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเปิดเครดิต และอัพเกรดเป็นขั้นบันไดเริ่มจาก 2,500- 25,000 จนถึง 250,000 บาท ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจการขายตรง แชร์ลูกโซ่ หรือการหลอกร่วมลงทุน เบื้องต้นมีการรวบรวมมูลค่าความเสียหายจากการสอบสวนผู้เสียหายทั้ง 80 คน อยู่ที่ 31 ล้านบาท
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวถึงกรณีดาราที่ปรากฏตามสื่อว่าเป็นผู้บริหาร หรือเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น หากพบว่ามีการสนับสนุนความผิดและเป็นตัวการความผิด จะดำเนินการตามกฏหมายไม่มีละเว้นทั้งสิ้น ดังนั้นหากดาราหรือศิลปินที่มาไลฟ์สด หรือช่วยโฆษณาสินค้า ก็จะต้องดูข้อเท็จจริงก่อนว่าเข้าข่ายความผิดใดข้าง และอยู่ในระดับที่ตำรวจจะพิจารณาความผิดนั้นได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือการสอบสวนผู้เสียหาย และรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานก่อน โดยจะใช้เวลาให้เร็วที่สุดประมาณ 2-3 วัน ก็จะสามารถพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริง หลังจากนั้นก็นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย คาดว่าไม่น่าเกินสัปดาห์หน้า ก็น่าจะพบว่ามีความผิดในฐานใดบ้าง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า หลังจากพบความความผิดก็จะนำเข้าสู่ขั้นตอนการออกหมายเรียก หากไม่มาก็ออกหมายจับ โดยขณะนี้ตนให้ความสำคัญกับเรื่องจำนวนเงินและทรัพย์สินอื่นเป็นหลักด้วย ซึ่งทางตำรวจยังไม่มีอำนาจไปยึดทรัพย์ ดังนั้นก็ต้องประสานไปที่ ปปง.ใช้อำนาจอายัดทรัพย์ทั้งหมดไว้ก่อน โดยมุ่งเป้าไปที่ตัวเจ้าของบริษัท อย่างไรก็ตามทางฝั่งผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถชี้แจงได้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดไม่ได้มาจากการกระทำความผิด แต่หากพบว่าการกระทำความผิดและนำเข้าสู่การฟ้องร้อง ก็จะมีการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหายได้ ส่วนดาราที่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทดังกล่าวจะถูกอายัดทรัพย์สินด้วยหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิดหรือเป็นตัวการในการกระทำความผิดร่วมกันหรือไม่ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏก็ยืนยันว่าร่วมด้วยก็จะโดนอายัดทรัพย์ทุกรายไม่มีละเว้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2565 มีกลุ่มทนายความเคยมายื่นคำร้องให้ทาง บก.ปคบ.ตรวจสอบว่าบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เข้าข่ายกระทำความผิด แต่เรื่องกลับเงียบหายไป ทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เรื่องนี้จะให้ทาง พล.ต.ท.อัคราเดช ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าดำเนินการไปแล้วมีผลอย่างไรบ้าง หากไม่พบก็ไม่เป็นไร แต่หากละเว้นก็จะต้องมีโทษอย่างแน่นอนด้วย
ส่วนกรณีกระแสข่าวว่ามีผู้เสียหายที่เสียชีวิตเพราะคดีดังกล่าว จะต้องสอบปากคำญาติของผู้ตายเพื่อให้คดีมีน้ำหนักขึ้นหรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่าต้องเรียนว่าขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต ต้องขอตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ถึผู้เสียหายว่าสามารถแจ้งความได้ในระบบหรือสายตรง 1599 หรือแจ้งผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ AOC หรือสามารถเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจใดก็ได้ หรือจะมาที่ บช.ก.เลยก็ได้
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อถึงความคืบหน้าคดีแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ ขณะนี้ตนทราบว่ามีการอายัดทรัพย์ของผู้ต้องหาสองราย ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์ที่อายัดไว้มีมูลค่ามากกว่าความเสียหายที่พบอยู่ในขณะนี้ด้วย สำหรับทั้งสองคดีมีลักษณะคล้ายคล้ายกันในบางส่วน ดังนั้นจึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช ลงมาควบคุมกำชับดูแลทั้งสองคดีนี้อย่างใกล้ชิดด้วย