เสี่ยเจ้าของร้านขายโทรศัพท์ ร้องขอความช่วยเหลือทีมงานเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกสาวร้านนวดหลอกให้รัก ก่อนแอบโอนเงินไปเกือบ 2 ล้านบาท
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่สำนักงานเพจสายไหมต้องรอด นายวิทวัส อายุ 47 ปี เจ้าของร้านขายโทรศัพท์ชื่อดังเข้าขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ให้ตามจับกุมหมอนวดสาวรายหนึ่ง มาดำเนินคดีให้ได้ เนื่องจากเป็นภัยสังคม
นายวิทวัส ผู้เสียหายเปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนไปใช้บริการร้านนวด ย่านซอยวัดโพธิ์แมน ถนนนราธิวาส กทม. ไปเจอหมอนวดคนหนึ่งชื่อ นางสาวเลย์ ระหว่างที่นวดใกล้จะเสร็จ ทางนางสาวเลย์ได้เสนอว่า จะนวดแบบพิเศษต่อไหม (ขายบริการ) ตนจึงตกลงที่จะซื้อบริการแบบนี้พิเศษไป หลังใช้บริการเสร็จ ตนได้เอาเงินสดให้นางสาวเลย์ 5,500 บาท แต่นางสาวเลย์ ปฏิเสธไม่รับเงินสด ขอให้ตนโอนให้แทน และนางสาวเลย์ได้ขอให้ตนไปส่งบ้านที่อยู่ย่านรามคำแหง แล้วบอกให้ไปโอนเงินบนรถ ระหว่างที่ตนขับรถยนต์ไปส่ง นางสาวเลย์ที่บ้าน ตนได้โอนเงินค่านวดให้นางสาวเลย์ จังหวะนั้นตนไม่ทราบเลยว่านางสาวเลย์ ได้แอบดูรหัสบัญชีธนาคารบนมือถือ หลังโอนเงินเสร็จก็ไปส่งบ้านตามปกติ
จากนั้น นางสาวเลย์ ได้ทักมาพูดคุยกับตนเองชวนมาเที่ยวที่ร้านนวด ชวนมาไปกินข้าว หากวันไหนตนไม่รับโทรศัพท์ นางสาวเลย์ก็จะบุกมาถึงร้านขายโทรศัพท์ตนทันที ตอนนั้นตนตนคิดว่า ผู้หญิงคนนี้คงชอบเราจริง ตนก็ยอมไปกินข้าวด้วยและไว้ใจ ทุกครั้งที่นางสาวเลย์มาเจอตนจะทำท่าทางคอยหึงหวง จะเอาโทรศัพท์มือถือตนไปเช็กอยู่ทุกครั้ง
ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม นางสาวเลย์ ได้ขอยืมเงิน 20,000 บาท ตนก็โอนเงินให้ไป แต่ตอนนั้นตนสังเกตเห็น นางสาวเลย์ จ้องดูโทรศัพท์ตนเวลาโอนเงิน ตนไม่รู้เลยว่าเขากำลังจดจำรหัสเข้าแอปธนาคาร จนกระทั่งเรื่องมาเกิดวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา 2567 นางสาวเลย์ ได้มาหาตนที่ร้านขายโทรศัพท์ และทำท่าทีหึงหวงเหมือนเคย ก่อนนำโทรศัพท์ตนเองไปเช็กว่ามีใครมาติดพันตนไหม จากนั้นนางสาวเลย์ได้แอบโอนเงินออกไปเข้าบัญชีตัวเอง 1,000 บาท เหมือนเป็นการหยั่งเชิง และจากนั้นได้โอนออกไปอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 49,999 บาท (ที่โอนยอดเท่านี้เป็นการเลี่ยงสแกนหน้า)
และวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา โอนออกไปเข้าบัญชีตัวเองอีก 4 ครั้งๆ ละ 49,000 บาท วันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา โอนออกไปเข้าบัญชีตัวเอง 6 ครั้งๆ ละ 49,0000 บาท วันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา โอนออกไปเข้าบัญชีตัวเอง 5 ครั้งๆ ละ 49,000 บาท วันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา โอนออกไปเข้าบัญชีตัวเอง 4 ครั้งๆ ละ 49,000 บาท และวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา โอนออกไปเยอะหน่อยรวม 17 ครั้ง เป็นเงิน 725,997 บาท โดยรวมยอดทั้งหมด ที่นางสาวเลย์ โอนเงินไปเข้าบัญชีตัวเอง เป็นเงิน 1,788,594 บาท
ตนมาทราบเรื่องในวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ทราบเรื่องเพราะว่ามีเงินจากธนาคารของตนเอง โอนเข้ามาธนาคารของตนเอง ตนจึงแปลกใจว่าตนไปโอนตอนไหน ตนจึงเปิดเข้าไปดูหลักฐานการโอนเข้าโอนออกของธนาคาร ปรากฏว่า เงินในบัญชีหายไปเป็นจำนวนมาก ตนจึงตรวจสอบว่าเงินถูกโอนออกไปไหน จึงพบว่า เงินถูกโอนไปยังบัญชีของนางสาวเลย์ ตนจึงรีบไปแจ้งความเพื่อทำการอายัดบัญชีของนางสาวเลย์ทันที และต้องการดำเนินคดีกับนางสาวเลย์ และจากการตรวจสอบว่าทำไม SMS ไม่แจ้งเตือนขณะที่มีเงินโอนเข้าโอนออก ปรากฏว่า นางสาวเลย์ ได้แอบปิดข้อความ SMS ไว้ ไม่ให้แจ้งเตือน และคอยลบรูป สลิปเงินในอัลบั้มออกหมด แต่ก็ยังพลาดท่าลบรูปสลิปออกไม่หมด ทำให้ตนจับได้
ตอนนี้นางสาวเลย์พยายามติดต่อมาขอเจรจากับตน ให้ตนไม่เอาความ แต่ตนยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หากไม่ได้เงินคืนตามจำนวน
ด้าน นายเอกภพ กล่าวว่า เช็กจากประวัติผู้หญิงรายนี้ดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาชีพ จะใช้คำว่าจิ้งจอกสาวคงไม่ผิด ลักษณะการก่อเหตุดูเหมือนเป็นมืออาชีพ มีการใช้จุดอ่อนของผู้เสียหายเป็นการหลอกลวง ตนเชื่อว่า จิ้งจอกสาวรายนี้ทำผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะหากเธอไม่แอบโอนเงินของเสี่ยหนุ่มรายนี้ไป เธอคงจะสบายไปตลอดชีวิต เพราะดูแล้วเสี่ยหนุ่มรายนี้เป็นคนจิตใจดีมาก หลังจากนี้ ตนจะประสานไปยังผู้กำกับ สน. หัวหมาก ให้เร่งล่าตัวจิ้งจอกสาวรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้ และจากการตรวจสอบประวัติของ น.ส.เลย์ พบว่า เคยก่อเหตุในลักษณะนี้เมื่อเดือน ธ.ค. 66 กับผู้ชายคนอื่น รายนั้นโดนไป 1,100,000 บาท โดยแจ้งความไว้ที่ สน.สำเหร่