xs
xsm
sm
md
lg

อัยการปราบทุจริตยื่นฟ้อง “สมยศ-เนตร” กับพวกรวม 8 คน ช่วยเหลือคดี “บอส อยู่วิทยา”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
อัยการปราบทุจริตยื่นฟ้อง “สมยศ-เนตร” กับพวกรวม 8 คน ช่วยเหลือกลับคำสั่งคดี “บอส” ขับรถชนตำรวจจราจรทองหล่อ ดับ ด้านอดีต ผบ.ตร.ยอมรับกังวลใจ



เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 นำสำนวนที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และ นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุดกับพวกรวม 8 คน มายื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต กรณีมีความเห็นเปลี่ยนเเปลงความเร็ว จนเป็นเหตุให้กลับคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถยนต์หรูพุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย. 2555

ช้วงเช้าวันนี้จำเลยทั้ง 8 คน ทยอยเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ

พล.ต.อ.สมยศ อดีต ผบ.ตร.เปิดเผยว่า ตนเองได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการตามขั้นตอน

เมื่อถามว่า มั่นใจในพยานหลักฐานสู้คดีของตนเองหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยว่า พยายามทำดีที่สุดแล้ว ยอมรับว่า กังวล และไม่สบายใจ สำหรับทุกคนที่มีเรื่องต้องต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงในการต่อสู้คดี

“เมื่อถูกดำเนินคดี ก็เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องมีความกังวล แต่ทุกอย่าง ก็จะต้องพิสูจน์ในชั้นศาล เรื่องทั้งหมดกำลังจะเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล ตนเองไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์หรือคอมเมนต์ใดๆ เนื่องจากเป็นการก้าวก่ายและเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม”


ส่วนหลักฐานที่ต่อสู้กันมาในชั้นสอบสวนตนเองไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด

ด้าน นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 กล่าวว่า ในวันนี้นำสำนวนที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ กับพวกรวม 8 คน มายื่นฟ้องต่อศาล โดยข้อหาที่ฟ้องคือความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยวันนี้ไม่ได้มีการคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เพราะทุกคนก็มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง ขอให้เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งทราบว่าจำเลยน่าจะมาครบ ซึ่งทางสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นประเด็น ส่วนแรกคือ การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ อีกส่วนคือ การดำเนินคดีกับอดีตรองอัยการสูงสุดในเรื่องการสั่งคดี และผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเป็นพยานของคดีนี้ ซึ่งคดีดังกล่าว ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด หากอัยการสูงสุดเห็นด้วยและมีคำสั่งฟ้องอัยการสูงสุดก็จะเป็นโจทก์ฟ้องเอง

สำหรับกระบวนการในวันนี้ อัยการจะตรวจสำนวนทั้งหมดว่าจำเลยมาครบทั้งหมดหรือไม่ ถ้ามาครบทุกคนอัยการก็จะยื่นฟ้องทันที แต่หากมาไม่ครบก็ต้องแยกสำนวนในการฟ้องภายหลัง เมื่อฟ้องแล้วศาลจะนัดสอบคำให้การของผู้ต้องหา หลังจากนั้น จะนัดตรวจพยานหลักฐานเพื่อนัดวันสืบพยานและกำหนดตัวพยาน ซึ่งตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการฟ้อง จะต้องมีการไต่สวนพยานของแต่ละฝ่าย ซึ่งในขั้นตอนนี้ศาลสามารถเรียกสอบพยานและหลักฐานมาไต่สวนเพิ่มเติมได้เนื่องจากศาลอาญาคดีทุจริตเป็นระบบไต่สวน

นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1
สำหรับคดีนี้เป็นคดีแรกที่ตนเข้ามารับผิดชอบ แต่จะเป็นการฟ้องอดีต ผบ.ตร.คนแรกในรอบหลายสิบปีหรือไม่ตนไม่ทราบ และหากกระบวนการในชั้นศาลสิ้นสุดและมีผลเป็นลบต่อจำเลยเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี การติดตามตัวก็จะเป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอัยการ ส่วนการประกันตัวทราบว่ามีถิ่นที่อยู่และเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และไม่มีพฤติกรรมหลบหนี

ในส่วนที่ ป.ป.ช.ยื่นสำนวนมาเเละมีการทำข้อไม่สมบูรณ์เป็นกระบวนการ เพราะทางอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตฯเรามองว่ามีข้อไม่สมบูรณ์ก็ส่งให้อัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้พิจารณา แม้อัยการปราบปรามการทุจริตฯจะทำข้อไม่สมบูรณ์ไปก็เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด โดยคำฟ้องในวันนี้มี 19 หน้า

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ประกอบด้วย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง, พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี, นายเนตร นาคสุข, นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม, นายธนิต บัวเขียว , นายชูชัย หรือ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร, รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม

ทั้งนี้ภายหลังยื่นฟ้องคดีแล้ว นายสุเวช จอมพงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลได้ประทับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท131/2567 และศาลได้ดำเนินการทำประวัติจำเลยทั้งหมด โดยวันนี้ยังไม่มีการสอบปากคำจำเลย ซึ่งศาลนัดสอบปากคำจำเลยอีกครั้งวันที่ 10 ก.ย.นี้ เวลา 09.30 น.หลังจากนั้นก็จะทราบว่าศาลกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานวันไหน ซึ่งอัยการได้เตรียมบัญชีพยานไว้เยอะพอสมควร แต่ศาลจะให้ไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยกี่ปาก ใช้ระยะเวลานานเพียงใด ก่อนนัดพิพากษา ก็เป็นดุลยพินิจของศาล


นายสุเวช กล่าวต่อว่า ส่วนการประกันตัวนั้น ในวันนี้จำเลยทั้ง 8 คน ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว แต่เป็นหลักทรัพย์จำนวนเท่าใดนั้น ตนไม่ทราบและจะได้ประกันตัวหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า อัยการมั่นใจในพยานหลักฐานที่ยื่นฟ้องมากเพียงใด

นายสุเวช กล่าวว่า ก็ยืนยันได้ตามพยานหลักฐานที่ป.ป.ช.ส่งมาให้ และอัยการสูงสุดตรวจแล้วว่าพยานหลักฐานสมบูรณ์เพียงพอแล้ว ส่วนศาลท่านจะมองอย่างไรก็เป็นดุลยพินิจที่จะต้องมาพิจารณากัน ซึ่งในชั้นนี้หากมีพยานหลักฐานติดขัด หรือมีอะไรขาดตกบกพร่อง ศาลก็จะประสานมายังอัยการได้ ตามที่กฎหมายเปิดช่องไว้

เมื่อถามว่า หากคดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้อง จะดำเนินการอย่างไร

นายสุเวช กล่าวว่า เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดที่จะพิจารณาว่า ที่ศาลยกฟ้องชอบด้วยเหตุผลหรือไม่และมีประเด็นใดที่ขาดตกบกพร่องจะต้องให้ศาลวินิจฉัยอีก โดยเป็นดุลยพินิจของอัยการสูงสุดว่าจะต้องอุทธรณ์คดีหรือไม่


ล่าสุดเวลา 13.00 น. ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คน แต่มีคำสั่งห้ามจำเลยออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล ซึ่งจำเลยยื่นหลักทรัพย์ประกันคนละ 200,000 บาท

พล.ต.อ.สมยศกล่าวสั้นๆ ก่อนเดินทางกลับว่าหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของทนายความ คดีอยู่ในอำนาจศาลเเล้วก็ต้องให้เกียรติศาลก็เชื่อว่าจะได้รับความยุติธรรม

อดีตอัยการอาวุโส สารภาพ ช่วย “บอส” เพื่อนหลานสาวในฐานะเพื่อนมนุษย์ ส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ลั่น! สังคมจอมปลอม อ้างคดีตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกหลายองค์กรกลั่นแกล้ง

นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส เปิดเผยภายหลังเดินทางมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หลังตกเป็นจําเลยกรณีช่วยเปลี่ยนเเปลงความเร็วในคดีของ "บอส อยู่วิทยา" ที่ขับรถชนด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต


นายชัยณรงค์ กล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีใจและเสียใจ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายวิชา มหาคุณ ตรวจสอบมหากาพย์คดี “บอส อยู่วิทยา” ซึ่งวันนี้ 29 สิงหาคม 2567 รวมระยะเวลา 49 เดือน หรือ 4 ปี 1 เดือน พอดี ยอมรับตนรู้สึกอึดอัดใจและเสียใจมาก เพราะตนไม่ใช่ผู้กระทําความผิด แต่ถูกคณะกรรมการชุดต่างๆ ทั้ง ป.ป.ช. อัยการสูงสุด ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมและกีดกั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง จนมาวันนี้รู้สึกดีใจเพราะศาลยุติธรรมจะเป็นที่เพิ่งสุดท้าย โดยตนจะนําพยานหลักฐานทั้งหมดที่ได้จากการฟ้องอดีต ก.อ. ในคดีหมิ่นประมาทฯ ซึ่งตอนนี้ตนได้รวบรวมพยานหลักฐานจนพบว่ามีการตัดต่อเทปจาก 1 ใน 8 ผู้ต้องหา ทําให้ ป.ป.ช. อัยการ และอัยการสูงสุด นําหลักฐานดังกล่าวมาเอาผิดตนเอง ซึ่งตนได้มีการแจ้งความเอาผิดใน 7 คดี กับทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งอดีตและปัจจุบันรวมทั้งนายตํารวจที่ตัดต่อเทปไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว


อย่างไรก็ตาม นายชัยณรงค์ ยอมรับว่า ตนได้เข้าไปช่วยให้คําปรึกษาคดี “บอส อยู่วิทยา” เนื่องจากเป็นเพื่อนของหลานสาว โดนยืนยันว่าตนไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น แม้แต่สลึงเดียว ได้เพียงนํ้าใจเท่านั้น “ขาหนึ่งเป็นอัยการ อีกขาเป็นเพื่อนมนุษย์ เมื่อเพื่อนเดือดร้อนตนจะเข้าไปช่วยไม่ได้เลยหรืออย่างไร ก่อนจะช่วยตนได้ศึกษาข้อกฎหมายมาอย่างดี อีกทั้งตนเป็นอัยการมานานกว่า 22 ปี การเข้ามาช่วยให้คําปรึกษาสามารถทําได้ เพราะตนไม่มีอํานาจในการพิจารณาคดี“

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในจริยธรรมของข้าราชการ ในกระบวนการยุติธรรมนั้น

นายชัยณรงค์ กล่าวด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า ”สังคมจอมปลอม“ พร้อมยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองว่าเหตุใดจึงไม่มีใครให้ความเป็นธรรม ในเรื่องที่ถูกปลอมแปลงเทป ซึ่งตนเตรียมที่จะเปิดเทปตัวเต็มในวันที่ 23 กันยายนนี้








กำลังโหลดความคิดเห็น