ตำรวจสืบสวนนครบาลจับกุม “ไอ้แขก” พ่อผู้ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศลูก อีกทั้งยังถ่ายคลิปเก็บไว้ ก่อนส่งต่อให้ผู้อื่นดู อ้างเพราะหึงหวง ที่ผู้เสียหาย เริ่มคบหาเพื่อนชาย
วันนี้ (6 ส.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น.พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ กก.สส.3 บก.สส.บช.น.ดำเนินการจับกุมตัว นายสรณคม หรือแขก อายุ 36 บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.1042/2567 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กนั้นยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นการกระทำต่อผู้สืบสันดาน” จับกุมได้บริเวณห้องเช่า ซอยสุวินทวงศ 13 แยก 19 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยพฤติการณ์สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.00 น. ขณะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน (อาศัยอยู่ด้วยกัน 10 คน) นายสรณคมได้เรียกเด็กผู้เสียหายเข้ามาในห้องซึ่งอยู่ชั้น 1 นายสรณคมได้ล็อคห้องและชวนเด็กผู้เสียหายคุย จากนั้นนายสรณคมได้ใช้มือจับหน้าอกและล่วงเกินเด็กผู้เสียหาย เด็กผู้เสียหายพยายามขัดขืน แต่สู้แรงของนายสรณคมไม่ได้ เด็กผู้เสียหายได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของป้า เด็กผู้เสียหายจึงสะบัดตัวหนีและวิ่งออกจากห้องไปบอกกับป้า จากนั้นป้าจึงไปบอกกับนายสรณคมว่าไม่ให้มายุ่งกับเด็กอีก
ต่อมาวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. นายสรณคมก็ขึ้นมามาที่ห้องของเด็กผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ชั้น 2 ในระหว่างเด็กผู้เสียหายเผลอหลับไป หลังจากที่เด็กผู้เสียหายตื่นขึ้นมาพบว่า ถูกถอดเสื้อผ้าและรู้สึกเจ็บที่อวัยวะ จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีจนถึงที่สุด
หลังจากการจับกุม นายสรณคมให้การว่า ตนมีอะไรกับเด็กผู้เสียหายจริง อ้างว่ามีความรักต่อเด็ก และมีความสัมพันธ์กันประมาณ 1- 2 ปี เริ่มต้นเดิมทีเด็กผู้เสียหายเป็นลูกติดจากภรรยาเก่า และปฏิเสธว่าไม่ใช่ลูกของตน ตนเพียงแค่รับเป็นพ่อเท่านั้นเพราะตนเชื่อว่า ภรรยา(แม่ของผู้เสียหาย) ไปท้องกับคนอื่น ต่อมาตนได้เลิกรากัน และได้มีภรรยาใหม่มีลูกด้วยกัน 3 คน เมื่อลูกสาวคนเล็กกับภรรยาใหม่อายุได้ 2 ขวบ ได้รับเด็กผู้เสียหายมาอยู่กับครอบครัวใหม่เพื่อให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวคนเล็กของภรรยาใหม่ เมื่ออยู่ด้วยกันได้แอบคบหากันมาจนบัดนั้นเป็นต้นมาโดยที่ภรรยาใหม่ไม่รู้
จากการซักถามผู้ต้องหาให้การวกวนพบพิรุธหลายประการ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของตัวผู้ต้องหา พบคลิปวีดีโอขณะล่วงเกินจำนวนหลายคลิป และมีลูกสาวคนเล็กของภรรยาใหม่ปรากฎในวีดีโอคลิปด้วย ภาพและวิดีโอโป๊เปลือยจำนวนมาก เป็นต้น และยังพบการส่งวิดีโอคลิปให้กับบุคคลอื่นในช่องทาง แชทเฟซบุ๊คอีกด้วย จากการซักถามพบว่า จับได้ว่า เด็กผู้เสียหาย เริ่มคบหาเพื่อนชายในวัยเดียวกัน ตนได้แอบดูแชทเฟซบุ๊กระหว่างเด็กผู้เสียหายและเพื่อนชายของเ จึงเกิดความโมโห จึงส่งภาพและคลิปวีดีโอให้เพื่อนชายคนดังกล่าวจำนวนหลายครั้ง ต่อมาภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมพบวีดีโอคลิปขณะที่ผู้ต้องหาบังคับให้เด็กผู้เสียหายขอโทษและกราบเท้า
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากมารดาของเด็กผู้เสียหายว่า ตนได้เลิกรากับผู้ต้องหามาหลายปี ไม่คิดว่าผู้ต้องหาจะทำกับลูกสาวตนได้ถึงเพียงนี้ เพราะลูกสาวไม่เคยบอกตนเลยแม้แต่สักครั้งจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นตนเพิ่งทราบเรื่องทั้งหมด และได้ประสานกับเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินคดีต่อมา และยินดีที่จะตรวจ DNA ด้วย เพราะตนไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ตัวผู้ต้องหากล่าว และยังบอกว่า ตัวผู้ต้องหามักจะเป็นคนดื่มสุราเป็นอาจินและชอบโกหกอยู่เสมอ ตนจึงตัดสินใจเลิกลาแต่ครั้งนั้นมา จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง สน.หนองจอก ดำเนินคดี
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่ถือเป็นภัยสังคมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเกิดกับคนใกล้ตัวในสถาบันครอบครัว สร้างตราบาปให้กับผู้เสียหาย สิ่งหนึ่งที่คนรอบตัวควรจะให้ความใส่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยก็คือ ต้องคอยเช็กคอยสังเกตอาการว่าเกิดอะไรที่ผิดปกติหรือไม่ เราสามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กได้ ดังนี้ เด็กมีบาดแผล หรือรอยฟกช้ำตามร่างกาย มีอาการหวาดกลัว ซึมเศร้า วิตกกังวล เก็บตัว ไม่ยอมออกไปพบปะเพื่อน หรือไม่สุงสิงกับใคร มีความคิดอยากทำร้ายร่างกายตัวเอง มีอาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย อาจหนีออกจากบ้าน หรือกลัวการกลับบ้าน การเรียนแย่ลง หรือไม่สนใจการเรียน ความปลอดภัยเป็นพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ การล่วงละเมิดทางเพศเป็นการคุกคามทั้งทางร่างกาย และจิตใจ การดูแลเอาใจใส่บุตรหลานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์อันเลวร้ายดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับบุตรหลานของตนเอง