ลุงขับแท็กซี่ ทะเลาะหนุ่มออฟฟิศ ถอยรถชน จยย.คู่กรณี รถติดซุ้มล้อ ก่อนลากข้ามสะพานกว่า 1 กม. อ้างกลัวถูกทำร้าย สุดท้ายเจ็บทั้งคู่ นอนโรงพยาบาลเตียงติดกัน
จากกรณีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เวลา 07.30 น. วันที่ 4 ก.ค. 67 พ.ต.ต.ฐาปนพงศ์ พึ่งมี สว.จร.สภ.ปากเกร็ด ได้รับแจ้งเหตุรถแท็กซี่ ชนกับรถ จยย.แล้วลากตามถนน ก่อนเสียหลักชนเกาะกลางถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ที่เกิดเหตุบริเวณทางลงสะพานพระราม 4 ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุร จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู นำตัวผู้บาดเจ็บ นายสุขเกษม แพ่งสภา อายุ 60 ปี เจ้าของรถแท็กซี่ สีขาว-ชมพู ทะเบียน ทส 3346 กทม. ส่งโรงพยาบาลกรุงไทย ส่วนผู้ขับขี่รถ จยย.บาดเจ็บเล็กน้อย
ความคืบหน้าล่าสุด เวลา 13.30 น.วันที่ 4 ก.ค. 67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เข้าพบ นายวัชรพล ครุฑปักษี อายุ 40 ปี พนักงานบริษัท ผู้ขับขี่รถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่น R15 สีดำ ทะเบียน 3 กน 2656 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า วันนี้เมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 07.30-08.00 น. ตนขับ จยย.ไปทำงาน ขณะถึงบริเวณถนนชัยพฤกษ์ กำลังขึ้นสะพานพระราม 4 ตนขับมาเลน 2 รถแท็กซี่อยู่เลนขวาสุด ซึ่งการจราจรเลนขวามีการติดขัด แท็กซี่จึงหักเบี่ยงเข้ามาเบียดตน ตนตกใจมาก จึงโมโห อยากให้แท็กซี่ขอโทษ แต่ดันขับหนี จึงได้ใช้เท้าถีบไปที่ฝากระโปรงหน้ารถแท็กซี่
หลังจากนั้น เขาขับหนีไป ตนจึงขับตามไป ขณะถึงบริเวณกลางสะพานพระราม 4 แท็กซี่ได้ถอยรถพุ่งมาชนรถ จยย.ตน ทำให้ตนได้รับบาดเจ็บ แต่ตนก็ยังไม่ท้อใจขึ้นรถ จยย.ขับตามไปต่อ จากนั้นแท็กซี่ก็ได้หยุดรถอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะถอยชน แต่ก็ไม่มีอะไร ได้ขับไปต่อ จนกระทั่งถึงบริเวณเชิงสะพานลงพระรามสี่ มุ่งหน้าถนนแจ้งวัฒนะ แท็กซี่พยายามจะถอยชนอีกครั้ง ตนจึงเห็นท่าไม่ดีรีบกระโดดลงจากรถ กระโดดไปเกาะอยู่ที่ราวสะพาน ส่วนรถ จยย.ของตนได้ไปติดที่ใต้ท้องรถของแท็กซี่เขาก็ขับลากไปไกลกว่า 1 กม. ก่อนจะไปชนเกาะกลางบริเวณขาลงสานพานพระราม 4 มุ่งหน้าถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งระหว่างที่ จยย.ตนถูกลาก ได้มีพลเมืองดีขี่รถ จยย.มา ให้ตนซ้อนท้ายและตามไปต่อ
ตอนนี้ตนยังไม่ได้ถามเขาว่าทำไมถึงมาทำแบบนี้ เนื่องจากคนขับแท็กซี่แกล้งสลบภายในรถ ตนจึงรีบมาที่โรงพยาบาล เพราะเจ็บบริเวณข้อเท้า และหน้าแข้ง ข้อมือ เป็นบาดแผลเปิด ซึ่งสาเหตุเริ่มต้นแท็กซี่หักเบี่ยงจากเลนเขามาโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ตนจึงตกใจเบรก ทำให้ตัวไปหยุดที่บริเวณหน้ารถเขาพอดี ตนจึงหันหลังไปและต้องการคำขอโทษ แต่เขาพยายามหนี ตนจึงขับตาม และตะโกนบอกให้หยุด ซึ่งตนก็พูดคำหยาบออกมาด้วย ส่วนสภาพรถ จยย.ของตนมีสภาพพังยับ เพราะถูกแท็กซี่ลากยาวเป็นกิโล ซึ่งดูเบื้องต้นไม่สามารถซ่อมได้แล้ว ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจสรุป
ซึ่งหลังจากเกิดเหตุได้มารักษาที่โรงพยาบาลเดียวกัน ตัวคนขับก็นอนอยู่เตียงข้างๆ ตน แต่ยังไม่ได้คุยอะไรกัน ถ้าเขามาขอโทษตนจะไม่ยอมเด็ดขาด เพราะการกระทำของเขาตั้งใจถอยรถมาชนตนทั้งหมด 3 รอบ เป็นเจตนาที่จะฆ่าตน ตนจะไม่ยอมเด็ดขาด จะเอาเรื่องให้ถุงที่สุด และตนไม่คิดว่าการมีใบขับขี่สาธารณะ ควรที่จะมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ เพราะขับรถบริการ แต่มาทำแบบนี้มันไม่ใช่
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางติดตามความคืบหน้าด้านคดีที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สอบถาม พ.ต.ต.ฐาปนพงศ์ พึ่งมี สว.จร.สภ.ปากเกร็ด ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ เวลาประมาณ 07.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีอุบัติเหตุรถแท็กซี่เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ บนสะพานพระราม 4 และรถแท็กซี่ได้ลากรถ จยย.ยาวกว่า 1 กม. เมื่อได้รับแจ้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงที่ตำรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า เชิงสะพานพระราม 4 ขาลงถนนแจ้งวัฒนะ มีรถแท็กซี่สีชมพูขาว จอดเสียหลักอยู่เกาะกลาง ช่องทางซ้ายสุดของสะพาน และมีรถ จยย.จอดล้มตะแคงอยู่ในด้านซ้าย จากการตรวจสอบผู้เห็นเหตุการณ์และตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า ลักษณะของการเกิดเหตุรถแท็กซี่จะเบี่ยงช่องทางบริเวณขาขึ้นสะพานพระราม 4 ฝั่งชัยพฤกษ์ แต่เกือบจะเฉี่ยวชนรถ จยย.ในช่องทางที่ 2 ทำให้รถ จยย.มีความโมโหและมีปากเสียงกัน ขับติดตามกันจนกระทั่งเกิดเหตุ
จากการสอบถามลุงขับรถแท็กซี่ อ้างว่า ตอนเกิดเหตุรู้สึกตกใจกลัว พยายามขับหนี กลัวว่าจะถูกทำร้าย จึงขับถอยหลังชนไปก่อน 1 ครั้ง แล้วหนีออกมา ซึ่งรถ จยย.ก็ได้ขับไล่ติดตามมา ซึ่งหลังจากที่ตามมารถแท็กซี่ก็จะถอยชนอีก เพื่อจะหนี จากการถอยหลังชนครั้งที่ 2 ทำให้รถ จยย.ติดใต้ท้องรถแท็กซี่ คนขับจึงขับลากลงมาและเสียหลักชนอยู่บริเวณเกาะกลาง
ส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้ร่วมกับพนักงานสอบสวนจะทำการตรวจสอบเพิ่มเติมและจะดำเนินการผู้กระทำความผิดต่อไป ซึ่งตอนนี้คนขับรถแท็กซี่มีอาการแน่นหน้าอก ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ให้การไม่ได้
ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ จะต้องรอสอบปากคำทั้งสองฝ่ายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งเอาผิด ตอนนี้ต้องให้คนขับรถแท็กซี่ออกจากโรงพยาบาลก่อนถึงจะทำการสอบสวนต่อ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วทั้ง 2 คน พบว่าไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย