xs
xsm
sm
md
lg

รวบ “บู๊” พี่เมีย “แจ๊ส ชวนชื่น” ไลฟ์สดท้าทายระบบ สุดท้ายจนมุม ตร.ที่ชายแดนสระแก้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



ตำรวจสืบสวนนครบาลจับกุม “บู๊ ภูมิพัฒน์” ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ “แจ๊ส ชวนชื่น” อีกทั้งยังโพสต์ข้อความ และไลฟ์สดท้าท้ายระบบเจ้าหน้าที่ แต่สุดท้ายไม่รอด จนมุมถูกจับได้ที่ชายแดน จ.สระแก้ว

วันนี้ (22 มิ.ย.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ดำรง เอี่ยมไพโรจน์ ผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว. กก.4 บก.สส.บช.น. ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ บก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่ กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว และ ตม.จว.สระแก้ว ร่วมกับจับกุม นายภูมิพัฒน์ หรือบู๊ อายุ 41 ปี ภูมิลำเนา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรีที่ จ.458/2567 ลงวันที่ 26 มี.ค. 67 ข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหะสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกันสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์” จับกุมได้ที่ จุดตรวจทหารพรานที่ 1201 ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

โดยพฤติการณ์กล่าวคือ นายภูมิพัฒน์ หรือบู๊ ที่ก่อเหตุขโมยทรัพย์สินของนายผดุง ทรงแสง หรือแจ๊ส ชวนชื่น นักแสดง และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี ออกหมายจับ โดยเจ้าตัวไม่ได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ยังคงหลบหนีและโพสข้อความเฟสบุ๊ค และไลฟ์สด ตอบโต้ ยั่วยุ คุกคาม ฝ่ายผู้เสียหายจนกลายเป็นเรื่องบานปลายตามที่เป็นกระแสสังคมในตอนนี้ กระทั่งเรื่องนี้ทราบถึง พล.ต.ต.ธีรเดช เพราะได้เข้าไปรับชมไลฟ์สดของนายภูมิพัฒน์ มีการกล่าวท้าทายมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวได้ อันเป็นการแสดงถึงความไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จึงส่งชุดสารวัตรแจ๊ะตะลุยชายแดนบูรพา ตามความเรียกร้องขอของประชาชนที่มาคอมเมนท์ในโลกโซเชียล โดยมีการบูรณาการสืบสวนร่วมกับ เจ้าหน้าที่ สส.ภ.จว.สระแก้ว และ ตม.จว.สระแก้ว สืบสวนติดตาม นายภูมิพัฒน์

แต่แล้วชุดสืบสวนก็ต้องพบว่า เป็นงานสุดหิน” เพราะความยากจากสภาพแวดล้อม การติดตามแทบจะไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยังถูกซ้ำด้วยสายข่าว “กลุ่มผี” ที่คอยรายงานทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ให้นายภูมิพัฒน์ ทราบตลอดทำให้ชุดสืบสวนต้องตามหลังหนึ่งก้าว โดยนายภูมิพัฒน์เหมือนชอบใจโพสข้อความยั่วยุไล่ให้เจ้าหน้าที่ถอนกำลังไปจากพื้นที่ จนความกดดันเริ่มถาโถมใส่ชุดสืบสวนหลังใช้เวลาหลายวันแล้วยังไม่เจอตัว ทางพล.ต.ต.ธีรเดช จึงเปิดศึกชิงไหวชิงพริบสั่งถอนกำลังออกจากพื้นที่ แสร้งล้มเลิกภารกิจให้นายภูมิพัฒน์ตายใจ ทิ้งชุดสืบสวนมือดียังคงแฝงตัวเป็นวนเวียนอยู่ กระทั่งได้พบกลุ่มผีสายข่าวของนายภูมิพัฒน์ และได้สะกดรอยติดตามไปจนกระทั่งพบตัวเป็นๆ ช่วงชิงจังหวะนำกำลังจับกุมนายภูมิพัฒน์ ได้ในที่สุด

ในชั้นจับกุม นายภูมิพัฒน์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า ในทางคดีตนไม่ได้เป็นคนขโมยเอารองเท้าไปตามที่ถูกแจ้งความ ตนเองโดนกลั่นแกล้งโดยใครบางคนเพราะตนเป็นคนชอบพูดตรงๆ แล้วตนเองก็เป็นคนที่ภาษีไม่ดีในวงเครือญาติ เพราะตนเองเคยก่อคดีร้ายแรงหลายคดี และจากความเกเรในสมัยก่อนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองหนีเก่งคาดไม่ถึงว่าจะถูกจับได้ เลยพลั้งเผลอท้าทายเจ้าหน้าที่ไปหลายครั้ง ขอโทษที่ทำลงไป ยืนยันว่าไม่ได้คิดจะมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ยอมรับว่าหากเจ้าหน้าที่ไม่มาจับกุม จะกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อชำระแค้นไอพวกนี้ให้หมด โดยหลังจับกุมตัวได้ นำตัวนายภูมิพัฒน์ ส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย

ทั้งนี้ยังตรวจพบประวัตินายภูมิพัฒน์ เคยถูกดำเนินคดี อีกหลายคดี โดย เมื่อปี 2546-2548 ก่อเหตุหคดีร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธมีดโดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราฯ ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธมีด โดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันพยายามฆ่า ร่วมกันทำร้ายร่างการผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราฯ (โทรมหญิง) โดยทั้งหมดต่างกรรมต่างวาระกันแล้วได้ถูกศาลตัดสินให้จำคุก โดยทั้งหมดถูกจำคุกอยู่เป็นเวลา 9 ปีกว่า ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.54 ถึงวันที่ 13 ก.ย.63 ก็ได้รับการปล่อยตัว ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทฯ พื้นที่ สน.มีนบุรี และวันที่ 3 มี.ค. 67 ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาฯ พื้นที่ สน.ลาดพร้าว

ด้านพล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า เราไม่ขอรับรางวัลแต่อย่างใด เราทำตามหน้าที่ที่ประชาชนต้องการที่พึ่งพิง แม้ท่าน (ผู้เสียหาย) จะเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่อีกมุมหนึ่งท่านก็คือประชาชนคนหนึ่ง เรารับรู้ความทุกข์ใจแล้วว่ามันมากเพียงใด และจากพฤติกรรมของผู้ต้องหามีลักษณะ คุกคาม ให้ร้ายกับฝ่ายผู้เสียหาย ซ้ำยังแสดงออกถึงความไม่เกรงกลัวและท้าทายกฎหมาย ถือเป็นภัยสังคม ต้องใช้มาตการขั้นเด็ดขาดเพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง








กำลังโหลดความคิดเห็น