ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร/ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยกระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผทค.พิเศษ ตร.รรท รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ. 7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.กันตวัฒน์ พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.ว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม,, พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
1. บก.สส.สตม. ตามรวบหัวโจกแก๊งโคลอมเบียหนีคดีลักทรัพย์ซุกไทย
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2567 เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์ข้านนักธุรกิจหลังหนึ่งกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้ทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศมาเลเชีย สืบทราบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด 8 คน แบ่งหน้าที่กันทำและตามจับกุมได้แล้ว 7 คน เหลืออีก 1 คน เชื่อว่าเป็นหัวหน้าขบวนการคือ Mr.Lopez (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติกัวเตมาลา คาดว่าหลบหนีเข้ามาประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ จึงประสานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองร่วมกันสืบสวนหาตัว ต่อมา ตม.จว.สงขลา สืบสวนพบว่า Mr.Lopezได้เดินทางเข้ามาในพื้นที่ จว.สงขลา เพื่อหายานพาหนะเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ เตรียมหลบหนีต่อไปประเทศเพื่อนบ้านทางช่องทางธรรมชาติ จึงรายงานให้ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 ทราบเพื่อประสานข้อมูลไปยัง พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. และ กก.2 บก.สส.สตม. สืบหาตัว Mr.Lopez จนกระทั่งทราบว่ามาพักที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งผ่านสุขุมวิท จึงวางกำลังเฝ้าอยู่รอบบริเวณ จนกระทั่ง Mr.Lopez ปรากฎตัวบริเวณหน้าโรงแรมจึงได้แสดงตัวจับกุมพร้อมขยายผลตรวจสอบภายในห้องพักพบสร้อยคอ กำไร เครื่องประดับแหวน จำนวน 6 ชิ้น เชื่อว่าอาจเป็นทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมมา จึงได้ทำการตรวจยึดไว้ จากการสอบถาม Mr.Lopez ให้การว่าตนเองมีชื่อจริงว่า Mr.Migue (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี สัญชาติโคลอมเบีย โดยไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่อย่างใด เบื้องต้น Mr.Lopez หรือ Mr.Miguel ไม่ให้การใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีข้อมูลว่า บุคคลนี้เคยร่วมกับพวกสัญชาติเดียวกันก่อเหตุเช่ารถตระเวนลักทรัพย์ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งได้ลงบันทึกข้อมูลประวัติไว้ในบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของ สตม.แล้ว เบื้องต้นได้จับกุมดำเนินคดี Mr.Miguel (สงวน
นามสกุล) อายุ 39 ปี สัญชาติโคลอมบีย โดยกล่าวหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าทางเข้าล็อบบี้โรงแรมในซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ และเมื่อคดีสิ้นสุดจะส่งตัวให้ กก.3 บก.สส.สตม.กักตัวไว้เพื่อรอดำเนินการตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
2. ปฏิบัติการสยบนักค้ายาต่างชาติในพื้นที่สมุย ลักลอบค้าโคเคน ตั้งนอมินีธุรกิจเช่ารถบังหน้ามาหลายปี
ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมกับ ป.ป.ส.ภ.8 และ สภ.บ่อผุด จับกุม นายแมตติโอ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี สัญชาติอิตาลี โดยกล่าวหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) นำตัวส่งพนักงนสอบสวน สภ.บ่อผุด จว.สุราษฎร์ธานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ริมถนนสายเรียบหาดละไม ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานี ก่อนการจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ว่ามีชายชาวต่างชาติสัญชาติอิตาลี มีพฤติการณ์นำยาเสพติดประเภทโคเคนมาจำหน่ายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.เกาะสมุยจว.สุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวสายปาร์ตี้และบาร์ชาวต่างชาติ สอดคล้องกับรายงานในทางลับของ ป.ป.ส. ว่ามีการขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้ยาสพติดได้ระบาดไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยรูปแบบการจำหน่ายใช้วิธีการจำหน่ายโดยตรงระหว่างชาวต่างชาติด้วยกัน ซึ่งผู้จำหน่ายยาเสพติดมักเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาพำนักในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน รู้จักพื้นที่และแหล่งเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยวในยามค่ำคืน เจ้าหน้าที่ร่วมกันทำการสืบสวนเรื่อยมาเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งทราบตัวผู้กระทำความผิดว่าชื่อนายแมตติโอ จึงได้บูรณาการกำลังวางแผนเข้าทำการจับกุมโดยให้สายลับเป็นผู้ติดต่อขอซื้อยาเสพติด (โคเคน) จากนายแมตติโอจำนวน 25 กรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท เป็นเงินจำนวน 62,500 บาท
ต่อมาสายลับได้นัดเวลาการส่งมอบยาเสพติดตามที่ได้ติดต่อขอซื้อจากนายแมตติโอ ที่บริเวณบาร์แห่งหนึ่ง ถนนเลียบหาดละไม ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานีเมื่อถึงเวลานัดหมายนายแมตติโอ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาทางด้านหลังบาร์ดังกล่าว และได้เดินเข้าในบริเวณด้านหลังร้าน เมื่อส่งมอบยาเสพติดให้แก่สายลับเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าทำการจับกุม นายแมตติโอ ไหวตัววิ่งไปขี่มอเตอร์ไซด์หนีออกไป เจ้าหน้าที่จึงได้กระโดดขวางรถมอเตอร์ไชด์และควบคุมตัวไว้ได้ทัน พร้อมขอตรวจค้นตัวนายแมตติโอ พบธนบัตรที่ใช้สำหรับขอซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้า และพบยาเสพติด (โคเคน) อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังขวา และยังพบยาเสพติด (โคเคน) ซุกซ่อนอยู่ในกางเกงในของนายแมตติโอ ขณะจับกุมทั้งหมดรวมน้ำหนัก 31 กรัม จากนั้นได้นำตัวนายแมตติโอไปตรวจค้นที่บ้านพักเลขที่ 105/23 ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นร้านธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ชื่อบริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด ของนายแมตติโอ พบรถจักรยานยนต์สำหรัลให้เช่าจำนวนมาก จึงได้ทำกรยึดและอายัดทรัพย์สินนำส่ง สำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 เพื่อดำเนินการ
ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ดังนี้
1. รถจักรยานยนต์เช่า จำนวน 70 คัน ซึ่งเป็นรถเช่าที่นายแมตติโอ ดำเนินกิจการในนามบริษัท วาสนา
มอเตอร์ไบค์ จำกัด ซึ่งนายแมตติโอ อยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และแสดงหลักฐานประกอบธุรกิจหุ้นส่วนกับบุคคลสัญชาติไทย
2. บัญชีเงินฝากในนามนายแมตติโอ จำนวน 8 บัญชี ประกอบไปด้วย บัญชีของธนาคารกรุงเทพ จำนวน 3
บัญชี, บัญชีกองทุนบัวหลวงตราสารหนี้ 1 บัญชี, ธนาคารกสิกรไทย 2 บัญชี, ธนาคารกรุงไทย บัญชี, ธนาคารกรุงศรี
อยุธยา 1 บัญชี โดยมียอดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 8,000,000 บาท
3. เงินสด 2 รายการ รวม 1,095,000 บาท จากนั้น ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของนายแมตติโอ ในเชิงลึกจนพบว่าถือครอง บริษัทวาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด โดยมี นายแมตติโอ, น.ส.วาสนา (สงวนนามสกุล) และนางจิรวรรณ (สงวนนามสกุล) เข้าร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 51 ต่อ 49 เปอร์เซ็ต์ ซึ่งเมื่อตรจสอบเอกสารหลักฐานการลงทุน พยานเอกสารและหลักฐาน อื่นรวมทั้งสอบถ้อยคำแล้วพบว่าบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 2 ราย ไม่ได้นำเงินเข้าร่วมในธุรกิจดังกล่าวและไม่ทราบถึงการดำเนินการในธุรกิจดังกล่าวเลย โดยได้รับการร้องขอจากนายแมตติโอ ให้ช่วยเหลือเอาชื่อมาใส่ในนามผู้ถือหุ้นเพื่อให้ ตนเองได้ประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรตามเงื่อนไขของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมดเป็นของนายแมตติโอ และนายแมตติโอ เป็นผู้รับผลกำไรแต่เพียงผู้เดียว
เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์ กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วาสนา ในฐานความผิด เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินคดีกับนายแมตติโอ ในฐานความผิด เป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อให้ตนประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
จากพฤติการณ์ดังกล่าวนายแมตติโอ ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรแต่งงานกับภรรยาชาวไทย โดยเปิดกิจการเช่ารถมอเตอร์ซด์บังหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ เพื่อแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าตนเองมีกิจการเป็นที่มั่นคง ปิดบังอำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการขายยาเสพติด ซึ่งจากการสอบถามนายแมตติโอ ให้ข้อมูลว่าได้ติดต่อขอซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มคนต่างชาติด้วยกันแล้วนำมาแบ่งขายหรือที่ภาษาในหมู่นักขายยาใช้คำว่า "จอยส์" ขายให้กับคนต่างชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวในยามค่ำคืน และได้ให้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปสู่ต้นทางของยาเสพติดที่ระบาดในหมู่นักท่องเที่ยวต่อไป
สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด รุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ ww.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง