ศาลสั่งจำคุก ร.ต.อ. อดีตรองสารวัตรธุรการ สถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง เบียดบังเงินประกันตัวผู้ต้องหารวมความผิด 25 กระทง โทษจำคุกรวม 125 ปี แต่โทษสูงสุด คงจำคุกโทษเหลือ 50 ปี พร้อมคืนหรือใช้เงิน 270,000 บาท แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เสียหายด้วย
วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 112/2566 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อท 99/2567 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 โจทก์ กับร้อยตำรวจเอกหญิง จิรัฏฐ์อร หรือ จิรัฎฐ์อร ภาคทรัพย์ จำเลย โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขณะดำรงตำแหน่งรองสารวัตรธุรการ สถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง ได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการเก็บรักษาเงิน รับเงินประกันตัวผู้ต้องหาจำนวน 25 กรรมแล้ว แต่ไม่ได้นำเงินเข้าฝากธนาคารเป็นเงินรวม 720,000 บาท ต่อมามีการตรวจสอบระบบการเงินพบว่าเงินสูญหายระหว่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย และจำเลยยินยอมนำเงินคืน 450,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าแม้เป็นการผิดระเบียบแต่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ เมื่อพนักงานสอบสวนนําเงินประกันตัวผู้ต้องหามาส่งมอบให้จำเลย จำเลยมีหน้าที่นําเงินฝากเข้าบัญชี หรือให้เจ้าหน้าที่การเงินอื่นฝากแทนได้ โดยในวันที่ได้รับเงินนั้น กรณีที่ไม่สามารถฝากทันภายในวันนั้น ให้รวบรวมเงินเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยที่สถานีตำรวจนั้นก่อน แล้วนำฝากในวันที่ธนาคารเปิดทำการวันแรกตามระเบียบกระทรวงการคลัง โดยต้องนําใบรับฝากเงินที่ธนาคารออกให้มาลงบัญชีคุมการนําฝากเพียงผู้เดียว และต้องทำการสรุปยอดรายวันซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลย แล้วเสนอผู้กํากับการเพื่อตรวจสอบลงลายมือชื่อรับรอง และนํามาเก็บไว้ที่ห้องการเงิน แต่ปรากฏว่าไม่มีการนําฝากเข้าบัญชีธนาคาร มีพยานพบเห็นธนบัตรปึกเงินประมาณ 200,000 บาท ที่จำเลยเก็บไว้ในตู้เหล็กที่ห้องทำงานเป็นเวลานาน
เมื่อตรวจสอบพบโดยสำนักตรวจสอบภายในและสำนักตรวจเงินแผ่นดินว่าเงินขาดหายและนำเข้าไม่ตรงวันและตรงจำนวน จำเลยจึงนำเงินเข้าบัญชีในภายหลัง การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำจึงเป็นความผิดตามฟ้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พิพากษาลงโทษจำคุกกระทง 5 ปี รวม 25 กระทง รวมจำคุก 125 ปี ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน คงจำคุก 75 ปี 100 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 270,000 บาท แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เสียหายด้วย
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว แต่ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาเห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์เป็ยผู้สั่ง จึงส่งคำร้องไปศาลอุทธรณ์ และส่งตัวจำเลยไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง