“ข่าวลึกปมลับ” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจNEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2567 ตอน เปิดเกมรุก ‘ระบอบทักษิณ’ เตือนไม่ฟัง ระวังเจอดี
การเมืองไทยเวลานี้ต้องทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของ ส.ว.จำนวน 40 คน ที่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดคามเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากกรณีให้นายพิชิตดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากที่เคยต้องโทษจำคุกจากคดีละเมิดอำนาจศาล
ความน่าประหลาดใจของเสนอคดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ คือ การมาดำเนินการในช่วงที่ส.ว.ทำหน้าที่รักษาการณ์เพื่อรอส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ อีกทั้งยังเป็นการยื่นพ่วงเอาผิดกับนายเศรษฐาด้วย
ทั้งๆที่โดยปกติแล้วว่าการยื่นตีความคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นจะเจาะจงเฉพาะรัฐมนตรีที่มีปัญหาเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ก็ควรจะเป็นเฉพาะทนายประจำบ้านชินวัตร แต่กลายเป็นว่าส.ว.ลากเอาเศรษฐาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยอ้างโยงไปถึงเรื่องจริยธรรมทางการเมือง
ในคำร้องของส.ว.ได้บรรยายถึงกระทำที่เป็นเหตุให้นายกฯควรพ้นจากตำแหน่งตอนหนึ่งว่า “นายเศรษฐา รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ได้กระทำความผิดตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 และต่อมาสภาทนายความมีมติลงโทษให้ลบชื่อผู้ถูกร้องที่ 2 ออกจากทะเบียนทนายความ แสดงว่านายพิชิต เป็นบุคคลที่มีการกระทำอันเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายพิชิตจึงเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี”
“การกระทำของนายเศรษฐา ที่เสนอทูลเกล้าฯนายพิชิต เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 ให้ได้เป็นรัฐมนตรี การกระทำดังกล่าวของนายเศรษฐา จึงเป็นการกระทำด้วยความไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ มีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ทำให้นายเศรษฐา ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) มีลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5)”
การมัดรวมเอานายกฯมาร่วมรับผิดด้วยนั้นถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ในทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึง
นัยทางการเมืองที่แอบแฝงอยู่
กล่าวคือ แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วนายเศรษฐาจะได้รับเสียงสนับสนุนจากส.ว.ให้ขึ้นมาเป็นนายกฯ แต่ต้องยอมรับว่าการยกมือให้ของส.ว.นั้นก็ไม่ได้มาจากความเต็มใจสักเท่าไหร เนื่องจากไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลในฐานะที่เป็นพรรคที่มีเสียงเป็นอันดับหนึ่งเป็นรัฐบาล จึงต้องจำใจยกคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทย
และปรากฏว่าการกลับมาของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว พร้อมกับได้รับอิสรภาพเดินสายพบประชาชนและหัวหน้าส่วนราชการ ทำให้ส.ว.ในกลุ่มคนที่เคยออกตัวขับไล่ระบอบทักษิณมาก่อน ไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป
ส.ว.เองก็รู้ดีว่าต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ทั้ง ‘เศรษฐา-พิชิต’ พ้นจากตำแหน่งและเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้การเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสถานะพิเศษของส.ว.ชุดนี้ที่มีสิทธิโหวตนายกฯได้หมดลงแล้วตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เพียงแต่เป้าประสงค์หรือธงหลักในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่การสอยนายกฯและรัฐมนตรี โดยเป็นการฝากแผลและสั่งสอนย้ำเตือนให้ฝ่าย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และ พรรคเพื่อไทยเลิกคิดการใหญ่และให้กลับไปทบทวนถึงสัญญาที่ทำไว้กับผู้มีอำนาจให้ดีๆ
เมื่อเตือนแล้วยังไม่ฟัง เรื่องนี้อาจไม่จบที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อาจไปจบด้วยวิธีการอื่นก็เป็นได้ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เคยมีบันทึกเอาไว้
------------------------------
**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore :https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play :https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android