“บิ๊กแป๊ะ”ดับเครื่องชน ป.ป.ช. ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม จี้นำหลักฐานที่ยื่นไปประกอบสำนวนหรือไม่ คดีจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ
วันนี้ (20 พ.ค.)เวลา 10.30 น.ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. เดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม พร้อมขอทราบความคืบหน้ากรณีที่ได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติมให้มีการสอบเพิ่ม ว่ามีการนำไปประกอบสำนวนหรือไม่ ในคดีจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2561-2562 โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่า วันนี้ตนพร้อมด้วยทนายความ มาติดตามขอความเป็นธรรมสอบถามความคิดเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางท่าน และยื่นหนังสือรังเกียจเป็นครั้งที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. โดยหนังสือที่ยื่นไปวันนี้มีพยานสำคัญ 5 ปาก มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุที่ตนเชื่อว่าสำคัญในคดีของตน
สืบเนื่องมาจากการที่คณะของ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ณ ขณะนั้นเป็น หัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(PCT4) ได้ทำการตรวจค้นบ้านตำรวจนอกราชการนายหนึ่ง และพบเอกสารในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบ้านนั้น ระบุเกี่ยวกับคำร้องในคดีของตนที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
ซึ่งตนเชื่อว่าเรื่องนี้มีการทำเป็นขบวนการผู้ร่วมขบวนการมี 3 ท่าน ตำรวจนอกราชการ 1 ท่าน ,ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีพันตำรวจโท 1 ท่าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน และ มีทนายความที่มีชื่อเสียง ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนกลั่นแกล้งให้ตนได้รับโทษ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาโปร่งใส ในช่วงแรกยอมรับเชื่อว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนด้วยความเป็นธรรมไม่ขาดความเป็นกลาง ยุติธรรม ไม่อคติ ทำให้ตนเองปล่อยให้เรื่องดำเนินการไปตามปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนรับทราบข้อกล่าวหา ตนก็เกิดความข้องใจว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ทำไมให้ตนมารับทราบข้อกล่าวหา สุดท้ายจึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนำมาสู่การตั้งข้อรังเกียจ
ทั้งนี้ตนยืนยันว่าโครงการรถไฟฟ้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นประเด็นไม่ได้เป็นการยัดเยียดรถให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่เป็นการมอบหมายนโยบาย สิ่งไหนดีก็มอบหมายให้ไปทำต่อ พร้อมถามกลับว่าตนไม่มีสิทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพในหน่วยงานเลยหรือ ทั้งที่นโยบายนี้เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ระบุให้รณรงค์การใช้พลังไฟฟ้าไม่ต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมัน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่าโครงการรถไฟฟ้าสั่งด้วยศักยภาพบริสุทธิ์ และขอให้ผู้ที่ตั้งเรื่องสอบตนเองกลับไปอ่านมติคณะรัฐมนตรีให้ดีว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่ และตนยอมรับว่าไม่แน่ใจว่ามติ ครม. จะถึงมือ ป.ป.ช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีเอกสารหลักฐานหลายชิ้นที่เป็นประโยชน์ต่อตนไม่ได้ถึงมือ ป.ป.ช.
ซึ่งหลังตนรับทราบข้อกล่าวหาคดีนี้ ยอมรับว่าไม่สบายใจและไม่ไว้ใจคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ถ้าเป็นไปได้อยากให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เพราะ 1 ใน 3 หรือ 2 ใน 3 มีที่มาที่ไปชัดเจนอยู่แล้วว่าอยู่ฝั่งฝ่ายใด โดยในขบวนการดังกล่าวประกอบด้วยตัวย่อ ‘3 ส. 1 พ.’ โดย "ส ตัวแรก" เกษียณราชการไปแล้ว "อีก 1 ส." เป็นประธานอนุกรรมการเคยลงสมัคร ป.ป.ช. "ส. ที่ 3" คือ นายตำรวจระดับสูง "พ 1" รายคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึงกลาง
ส่วนระหว่างถูกฟ้องหมิ่นประมาทกับที่จะต้องถูกติดคุกติดตาราง ตนขอเลือกโดนฟ้องหมิ่นฯ สถานที่ ป.ป.ช. แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บาปกรรมต้องลงโทษผู้ทำไม่ดี และต้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เอาพยานของตนไปสอบเพื่อจะได้รู้ว่าตนถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายหรือไม่ จากนั้นได้เปิดภาพพร้อมข้อความระบุว่า “วันนี้พี่โจ๊กชวนมาทานข้าวที่บ้านวิภาวดีรังสิต คุยเพลินลืมเวลาจะทันเคอร์ฟิวไหม” พร้อมเปิดภาพการท่องเที่ยวต่าง ๆ ของบุคคลที่เชื่อว่าอยู่ในขบวนการ และระบุว่าถ้าแผนประทุษกรรมเป็นลักษณะนี้ในขณะที่ตนเป็นตำรวจจะออกหมายจับทุกคน
ทั้งนี้หลังเกิดเรื่องฟ้องเอาผิดตนมีมือปืน(ทนายความชื่อดัง)มาขอโทษตนพร้อมกับพวงมาลัย และกล่าวว่าผมไม่น่าทำพี่เลย
“ผมเคยเป็น ผบ.ตร.ไม่ใช่คนกะล่อนปลิ้นป้อน เด็กเลี้ยงแกะ เจ้าของโรงน้ำแข็ง วันนี้ตนทนดูการสอบสวนไม่ได้แล้ว ผมเคยมีคดีที่ ป.ป.ช.อยู่ 2 คดี คดีเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิตร สมัยเป็นผู้บังคับการกองปราบปราม เรื่องที่ 2 คือเรื่องนี้ ในชีวิตที่รับราชการมาเคยมีแค่ 2 เรื่องที่ถูก ป.ป.ช. สอบ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจนอกราชการคนนี้เก่งไหม? ต้องบอกเลยว่าเก่ง ตนเองเลี้ยงมาเหมือนน้อง เงินเดือนก็หาให้ ตนไม่ได้ทวงบุญคุณ วันนี้ตนต้องขอโทษน้อง ๆ ที่รับราชการอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้เขาเจริญเติบโตก้าวหน้าในราชการ ตนเสียใจกับสิ่งที่ทำมา ตนโดนร้องเรียน ป.ป.ช. จะเอาตนถึงตาย ตำรวจคนนี้ ๆ ได้ไปประกาศในวงของเขาว่า “ไม่มีคำว่าพี่น้องแล้ว กูจะเอาไอ้แป๊ะติดคุกให้ได้”
หลังจากนี้ต่อไป ตนจะมาชี้แจงที่ ป.ป.ช. ด้วยตนเองทุกครั้งเพราะการชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษรเชื่อว่า 99% คณะกรรมการไม่ได้อ่าน และขอให้อนุกรรมการ 5 ท่านเอาเรื่องของตน กลับมาทบทวนให้ความเป็นธรรมแล้วตั้งใครก็ได้ให้เป็นประธานไต่สวนใหม่ แต่ไม่เอา "ส. ที่ 2" ที่มีความสัมพันธ์กับอดีตนายตำรวจและมีการแล้วตกแต่งบัญชี ส่วน "พ." ตนก็ไม่เอา ขอคนใหม่เลย
อย่างไรก็ตามเสียงของตนเองเป็นเสียงเล็กๆ ซึ่งถ้าหลังจากนี้ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวก็พร้อมที่จะมาที่ป.ป.ช.เป็นครั้งที่ 3 ยืนยันว่าเป็นลูกผู้ชาย จะไม่ทำแบบนั้นไปที่ไหนองค์กรไหนก็วุ่นวาย ตนฟังใครต่อใครพูดมา เห็นพฤติกรรมแบบนั้น องค์กรตำรวจรู้ดีว่าใครสนับสนุนเขามาเป็นตำรวจ
ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับแนวทางที่อดีต รอง ผบ.ตร. ดำเนินการตรวจสอบ แต่ในส่วนตนเองกับรอง ผบ.ตร. คนดังกล่าว เชื่อว่าไม่มีการญาติดีกันแน่ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบ ป.ป.ช. นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าเลือกปฏิบัติ กวาดบ้านแค่บางห้อง ตรวจสอบแค่ กรรมการ ป.ป.ช. บางคน แต่ต้องทำทั้งองค์กร ป.ป.ช. ทั้งระดับบน ระดับกลาง และระดับล่างด้วย