ศาลอาญาคดีทุจริตฯรับไต่สวนมูลฟ้อง’ศักดา’รอง อสส.เเล้วหลังถูก ‘สิงห์ชัย’อดีต อสส.ฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบตรวจสอบคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ยกฟ้อง ‘นารี’อดีต อสส.
วันนี้ (8 พ.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง ในคดีที่นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อดีตอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุด เเละนายศักดา ช่วงรังษี รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง บริษัท ซี.พี.เค.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก บุกรุกยึดครองหรือทำประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนฯกว่า 6,200 ไร่ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
โดยวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้อง นายสิงห์ชัย เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ
โดยศาลตรวจฟ้องแล้วมีคำสั่งให้รับคดีโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะในส่วนของนายศักดาจำเลยที่ 2ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 157 และตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 และพิพากษายกฟ้อง น.ส.นารี จำเลยที่ 1
นายสิงห์ชัย โจทก์แถลงว่าในส่วนของจำเลยที่ 1นั้นโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ จึงขอให้รอผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ก่อน แล้วจึงค่อยดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในมูลความผิดเดียวกัน พยานหลักฐานที่อ้างเป็นชุดเดียวกัน พฤติการณ์แห่งคดีจำต้องวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน หากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นย่อมส่งผลต่อกระบวนพิจารณาทั้งเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาและเปิดโอกาสให้คู่ความต่อสู้คดีกันได้อย่างเต็มที่ ในวันนี้จึงยังไม่กำหนดวันนัดพิจารณาใด ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 และให้กำหนดวันนัดพร้อมเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 3 ก.ย.เวลา 09.00 น.
สำหรับคำฟ้องโจทก์ สรุปว่า น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีต อสส.ในขณะนั้นมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าวสารและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสูงสุด จำนวน 5 คณะทำงาน โดยมีคดี นายสิงห์ชัย โจทก์ในฐานะอสส. ขณะนั้นมีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องตามความเห็นแย้ง, มีคำสั่งไม่ฟ้องกรณีความผิดนอกราชอาณาจักร การกระทำของ น.ส.นารี ในฐานะจำเลยที่ 1 จึงมีเจตนาใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยไม่สุจริต มุ่งตรวจสอบสำนวนคดีที่โจทก์มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในขณะดำรงตำแหน่ง อสส. เป็นการเลือกปฏิบัติต่อโจทก์อย่างไม่เป็นธรรม การออกคำสั่งดังกล่าว ก้าวล่วงดุลยพินิจในการสั่งคดีของโจทก์ที่ได้พิจารณาและมีคำสั่งไปแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าโจทก์ใช้อำนาจ อสส.ในการสั่งคดีโดยมิชอบ
ส่วนนายศักดา ช่วงรังษี เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์และมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของ นายศักดา ที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาความเห็นใน คดี ซี.พี.เค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก และมีการพิจารณาทำความเห็นให้ข้อเสนอแนะก้าวล่วงไปถึงดุลยพินิจในการพิจารณาสั่งคดีของนายสิงห์ชัย ในฐานะอสส. โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ และเสนอความเห็นต่อ อสส.คนปัจจุบันให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับโจทก์ การออกคำสั่งอสส. โดยน.ส.นารี จำเลยที่ 1 แต่งตั้งนายศักดา จำเลยที่ 2 เป็นคณะทำงานดังกล่าว จึงมีเจตนาร่วมกันดำเนินการตรวจสอบทั้งที่ ไม่มีอำนาจและไม่เป็นกลาง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยไม่สุจริต เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นอกจากนี้การกระทำของจำเลยทั้ง 2 ยังเป็นใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบ กระทำนอกขอบเขตแห่งอำนาจหรือโดยปราศจากอำนาจ เป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจเกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสอง เป็นข้าราชการอัยการชั้นสูง ย่อมทราบดีถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ตลอดจนระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด และหลักเกณฑ์การวินิจฉัยมูลความผิดทางวินัยของพนักงานอัยการ