ประธานมูลนิธิเพชรเกษม เผย สั่งพักงาน 7 วัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยขับรถย้อนศร ขอยอมรับผิดให้ว่าไปตามกฎหมาย พร้อมแจ้งความกลับคนโพสต์คลิปลงโซเชียลทำให้เสื่อมเสีย
จากกรณีเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา มีรถกู้ภัย มูลนิธิกู้ภัย 2 คัน ขับรถย้อนศรไปช่วยผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่ดันติดรถที่กำลังออกจากซอย ขณะนั้นมีกู้ภัยอีกศูนย์หนึ่งขับรถแซงไปช่วยคนเจ็บก่อน ในตอนนั้นเองที่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยคันดังกล่าวที่ขับเเซงขึ้นไปลงมาจากรถในลักษณะที่เร่งรีบ ทำให้เสียหลักถูกรถยนต์ที่ขับสวนมาเกี่ยวกระเป๋ากู้ภัยจนทำให้ล้มลงจนได้รับการบาดเจ็บ และถูกกู้ภัยคันที่ถ่ายคลิปดังกล่าวนั่งด่ากู้ภัยที่บาดเจ็บ แถมหัวเราะเยาะแบบสะใจ โดยภายหลังได้มีการนำไปโพสคลิปดังกล่าวลงสื่อโซเชียลประจานในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามนั้น
ล่าสุด วันนี้ (22 เม.ย.) ที่ สน.บางเขน นายจักรพันธุ์ สร้อยพวง เจ้าหน้าที่กู้ภัย มูลนิธิเพชรเกษม หนึ่งในเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ถูกถ่ายคลิปและนำไปโพสต์ลงในโซเชียลได้กล่าวถึงเหตุการณ์วันดังกล่าว ว่า เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลา 09.30 น. ตนได้รับแจ้งเหตุรถชนที่บริเวณ กม.4 มีผู้บาดเจ็บหลายราย จึงได้ไปตรวจสอบ โดยตนขับออกมาจากตลาดหัวมุมรามอินทรา ขณะตรวจสอบนั้นตนพบเห็นรถกู้ชีพของอีกมูลนิธิหนึ่งอยู่ด้านหน้าของรถตน ที่ได้มีการขับย้อนศร ตนจึงคิดว่าจุดเกิดเหตุนั้นน่าจะอยู่ไม่ไกล จึงได้มีการขับตามไป แต่แท้จริงแล้วนั้นอุบัติเหตุห่างจากจุดย้อนศรประมาณ 300-400 เมตร
แต่พอขับตามไปปรากฏว่า มีจังหวะที่รถคันหน้านั้น ได้ติดรถที่ออกมาจากปากซอย ตนจึงตัดสินใจขับเบี่ยงแซงออกไปในเลนที่มีประชาชนปิดกั้นถนนไว้ให้ ในขณะนั้นเองถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มากับตนอีกรายหนึ่งนั้น ได้ทำการเปิดประตูรถและลงไปหวังจะไปช่วยคนเจ็บ ในขณะนั้นเองตนได้มีการขยับรถไปด้านหน้า ถึงได้เกิดการเฉี่ยวกับรถอีกคันนึงที่สวนมา ทำให้ที่กู้ภัยรายดังกล่าวนั้นเกิดอุบัติเหตุหน้าฟาดล้มลงกับพื้น แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแค่ปากแตกเท่านั้น
โดยทางฝั่งตนนั้น ก็อยากที่จะขอโทษประชาชนกับเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ตนได้ขับรถย้อนศร ทำให้เกิดอันตรายต่อท้องถนน ทางฝ่ายตนนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะขับรถเพื่อไปแย่งผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด หวังเพียงแต่จะช่วยผู้บาดเจ็บเพียงเท่านั้น
นายจักรพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ที่ตนได้เดินทางมายัง สน.บางเขน นั้น เพื่อที่จะมาดำเนินคดีกับผู้ที่ได้มีการนำคลิปดังกล่าวไปโพสต์ลงในโซเชียล ทำให้ประชาชนและสังคมมารุมโจมตีพวกตน รวมถึงคอมเมนต์ในโซเชียลที่กล่าวโจมตีตนโดยตรงก็จะดำเนินคดีทั้งหมด
และตนขอย้อนถาม รถกู้ภัยอีกคันหนึ่งที่ตนได้ตามมาและได้มีการถ่ายคลิปพวกตนว่า ทำไมถึงไม่ลงมาช่วยผู้บาดเจ็บด้วยกัน หัวเราะเยาะพวกตนทำไม เพราะคนเจ็บที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั้นมี 2 ราย กลับกันหากที่กู้ภัยคันดังกล่าวเป็นผู้ที่ไปถึงผู้บาดเจ็บก่อนพวกตนที่ไปถึงหลังนั้นจะมีการลงไปช่วยอย่างแน่นอน
หากจะกล่าวว่าเป็นความไม่ถูกกันของมูลนิธิทั้งสองหรือไม่นั้นตนมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่องค์กรแต่เป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า
ต่อมา นายสหชาติ ลิ้มเจริญภักดี ประธานมูลนิธิเพชรเกษม เปิดเผยว่า ได้เรียกเจ้าหน้าที่และผู้ได้รับบาดเจ็บที่ปรากฏตามภาพคลิปมาสอบถาม ซึ่งได้ลงโทษผู้ขับรถย้อนศรโดยงดการปฏิบัติหน้าที่ 7 วัน ให้เก็บธูปศาลเจ้า และตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ยอมรับผิดเรื่องการขับรถย้อนศรให้ว่าไปตามความผิด พ.ร.บ.จราจร จะเปรียบเทียบปรับ หรือว่ากล่าวตักเตือนอยู่ที่ดุลยพินิจพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ขอนำความผิดพลาดนี้ไปปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด โดยจะนำประเด็นดังกล่าวเข้าที่ประชุมใหญ่ การจะกระทำการใดก็ตามอย่าประมาทเลินเล่อและสร้างผลกระทบต่อส่วนรวม ครั้งต่อไปให้ประสานสถานีตำรวจพื้นที่ ส่วนเรื่องความปลอดภัยจะต้องมีเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
นายสหชาติ กล่าวอีกว่า มูลนิธิเพชรเกษม ก่อตั้งมา 18 ปี มีความพร้อมและศักยภาพในการช่วยเหลือประชาชน และหน่วยงานราชการต่างๆ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้สังคมคงให้อภัย ขอโอกาสให้ได้ปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ผิด และขอให้ติดตามเรื่องการขึ้นทะเบียนระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามระเบียบ พร้อมขอความเป็นธรรมไปถึงผู้บริหารที่มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนให้ลงมาแก้ไขปัญหานี้ ทั้งนี้ไม่กังวลใดๆ ทั้งสิ้น กับการปกป้องสิทธิของตนเอง อย่าโพสต์เพื่อเอาความสะใจ ผมต้องปกป้ององค์กร เพื่อไม่ให้คนเข้าใจผิด
ด้าน พ.ต.ท.ศุภชัย หาญคำหล้า รอง ผกก.(สอบสวน) สน.บางเขน เปิดเผยว่า ทางตำรวจจะรับคำร้องทุกข์ที่ทางผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความว่านำคลิปไปโพสต์ในลักษณะหมิ่นประมาทใส่ความให้ได้รับความเสียหายและส่งผลกระทบต่อองค์กร ทั้งนี้ ได้รับแจ้งความไว้เพื่อดำเนินการสอบสวนว่ามีความผิดหรือไม่ ถ้ามีความผิดจะเรียกผู้โพสต์มาแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท
พ.ต.ท.ศุภชัย เปิดเผยอีกว่า ตามภาพคลิปวงจรปิดดังกล่าว พบว่า อาสาได้ขับรถย้อนเส้นทางฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบก ซึ่งมีผู้นำคลิปไปโพสต์ ทั้งนี้ การฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบกทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาข้อกฎหมายต้องดูว่ามีเจตนาหรือไม่ ตาม ป.อาญามาตรา 67 ประกอบกับ พ.ร.บ.จราจรทางบก หากผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น ให้ตนเองหรือบุคคลอื่นพ้นจากภยันตราย กรณีนี้มีเจตนาที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ก็สามารถเข้าข้อยกเว้นไม่ถูกดำเนินคดีได้ อีกทั้งตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก กำหนดให้รถฉุกเฉินสามารถหยุดรถในที่ห้ามจอด, ขับรถเร็วเกินกว่าที่กำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร หรือฝ่าฝืนทิศทางการเดินรถได้ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องใช้ความระมัดระวัง ซึ่งก็จะต้องพิจารณาว่าใช้ความระวังสมควรแก่เหตุหรือไม่ ส่วนกรณีการติดสัญญาณไซเรนจะต้องดูว่าได้รับอนุญาตหรือไม่ หากไม่ได้รับอนุญาตจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ตำรวจจะเรียกตัวแทนของทุกมูลนิธิมาพูดคุยแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจน