xs
xsm
sm
md
lg

"บิ๊กต่าย" เซ็นคำสั่งให้ "บิ๊กโจ๊ก" กับลูกน้อง 4 คนออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรง ไม่กังวลถูกอีกฝ่ายเช็กบิล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร.
รรท.ผบ.ตร.เผยลงนามคำสั่งให้ "บิ๊กโจ๊ก" กับลูกน้องรวม 5 ราย ออกราชการไว้ก่อนหลังพบมีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาจริง มีผลวันนี้ พร้อมตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรง ตั้งกรอบเวลาพิจารณา 270 วัน ไม่กังวลถูกเช็กบิลเอาคืนเพราะทำตามอำนาจหน้าที่

วันนี้ (18 เม.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระเเสข่าวว่ามีการให้พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร. ) ให้ออกจากราชการ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ว่า เรื่องการตั้งกรรมการและการให้ออกจากราชการ ตนขอย้อนไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ที่ตนเองเคยได้แถลงต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภา ทุกอย่างขอให้เป็นตามกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมายและกฎก.ตร. จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 18 เม.ย.67 มีการรายงานพฤติการณ์แห่งคดีประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีและทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ ก็ได้รายงานการต้องคดีตามระเบียบดังกล่าวเช่นเดียวกันไปยังกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกองคดีอาญาได้รายงานตนเพื่อทราบ จากนั้นตนได้รับทราบจึงให้กองวินัยได้พิจารณาไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎ ก.ตร.

"ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการถึงพฤติการณ์แห่งคดีกับความร้ายแรงของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิจารณาในรายงานของคณะพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ตั้งขึ้นมา และกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้รายงานมาด้วยว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และข้าราชการตำรวจอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน ได้กระทำผิดอาญาจริงจึงได้มีการเสนอความเห็นให้ผมปฏิบัติตามกฎหมายตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในมาตรา 131 ซึ่งเป็นกรณีที่ข้าราชการตำรวจต้องหาคดีอาญา ประกอบกับมาตรา 112 ในรายละเอียดแห่งการพิจารณาว่าจะกระทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ประกอบกัน" รรท.ผบ.ตร.กล่าวและว่า ได้พิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายว่าพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงขนาดไหนซึ่งการพิจารณาแล้วพบว่ามีความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากการกระทำผิดซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาจากการที่ศาลได้ออกหมายจับ ทั้ง 5 ราย จึงจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จากนั้นเห็นแล้วว่าพฤติกรรมต่างๆ และการสอบสวนของคณะกรรมการจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นไปตามกฎก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการลงนาม ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตนมีอำนาจตามมาตรา 105 และ 108 ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งรักษาราชการแทนมีอำนาจเช่นเดียวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อกองวินัยเสนอขึ้นมาตนจึงเป็นผู้ลงนาม ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในคำสั่ง 2 คำสั่งนี้ ซึ่งขั้นตอนจะต้องรายงานนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และทางปลัดสำนักนายกฯ ได้มอบหมายหน้าที่การงานให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบและสำนักงานปลัดสำนักงานนายกได้มีหนังสือส่งตัวกลับโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ส่งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามขั้นตอนแล้ว

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยืนยันว่าได้เซ็นคำสั่งตั้งกรรมการและคำสั่งให้ออกจากราชการกับตำรวจทั้ง 5 นาย เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.67 ซึ่งกระบวนการออกจากราชการยังถือว่ายังต้องดำเนินดำเนินการตามกระบวนการต่อไปของพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ตอนนี้ได้มีการออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อันเนื่องมาจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงและมีการออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนซึ่งเป็นไปตามการพิจารณาตามกฎก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่เริ่มกระบวนการและขอขยายเวลาภายใน 270 วัน หากไม่แล้วเสร็จเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ซึ่งได้ตั้งให้พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในการดำเนินการสอบวินัย อย่างไรก็ตามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสิทธิที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งทางพล.ต.อ.สราวุฒิ จะต้องให้โอกาสพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎก.ตร. ขณะเดียวกันทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะใช้สิทธิในการร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทราบเรื่องแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองวินัยและคณะกรรมการจะต้องแจ้งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทราบ

ถามต่อว่าหากมีการร้องไปยังศาลปกครอง เอาผิดคณะกรรมการและอาจมาถึงตัว รรท.ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เราพิจารณาพิจารณาไปตามกรอบของกฎหมายและกฎก.ตร. ทุกประการ ความเคลื่อนไหวในการจัดฟ้องร้องหรือดำเนินการอะไรกลับมาถือว่าเป็นสิทธิของท่านที่จะทำได้หากถามว่าหวั่นไหวหรือไม่ ตนขอบอกว่าไม่มีความหวั่นวิตกหรือหวั่นไหวใดๆ เพราะถือว่าในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง กฎก.ตร.ที่เกี่ยวข้อง ทุกประการ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าไม่ได้กังวลหรือหวั่นไหวใดๆ เพราะทำงานตามระเบียบ รวมถึงตนเองแม้จะเป็นแคนดิเดตผบ.ตร.เช่นเดียวกันแต่ไม่ได้สนใจเลย เพราะตอนนี้มีบทบาทหน้าที่เป็นรักษาราชการแทน ก็ต้องทำงานตามขั้นตอนและพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ยืนยันว่าเรื่องความขัดแย้งเป็นมุมมองของแต่ละคนซึ่งเกิดมานานแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าตนเองอาจจะกลายเป็นคู่ขัดแย้งใหม่ หรือหากผู้ถูกกล่าวหามองว่าตนเองเป็นคู่ขัดแย้งก็คงปฏิเสธไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ข้อเท็จจริงไป แต่ยืนยันว่าตนเองไม่ขอโต้ตอบกลับไปและขอทำงานตามบทบาทหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และอยากให้องค์กรเดินหน้าต่อไปให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธา

"ผมไม่ได้รับใบสั่งจากใคร ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดีและความีร้ายแรงที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ส่วนความเป็นธรรมมีอยู่แล้วเป็นสิทธิที่ พล.ต.อ.สุเชษฐ์ สามารถร้องทุกข์หรืออุทรณ์ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน แต่จะดึงผมเป็นคู่ขัดแย้งนั้น มองว่าถ้าเกิดขึ้นจริงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถูกมอบหมายให้เป็นรักษาการ ผบ.ตร.ต้องอยู่ในจุดที่ต้องพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่กลัวการถูกเช็กบิลหรือเอาคืนหลังจากนี้ เพราะผมทำทุกอย่างตามอำนาจหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและให้เกิดความเป็นธรรมกับองค์กรนี้ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวไม่ได้คาดหวังเรื่องเป็นตัวจริง ผบ.ตร.คนต่อไปแต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"รรท.ผบ.ตร.กล่าว

ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ตอนนี้เป็นคดีอยู่ที่ สน.เตาปูน ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคดีของผบ.ตร. นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ เป็นตำแหน่ง ผบ.ตร.


มีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้

1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา
3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร
5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการ ตำรวจจราจร

มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญาและถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน" และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) คือถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา โดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ซึ่งเป็นคดี
สำคัญ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนและภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ ประกอบกับได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 115 มาตรา 108 มาตรา 131 และมาตรา 179 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2549 ข้อ 8 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 118/2567 ลงวันที่ 20 มี.ค.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน จึงให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก รวม 5 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ได้ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์




กำลังโหลดความคิดเห็น