อดีตผู้ว่าฯ หลายจังหวัดพยานคนสำคัญคดี "บิ๊กโจ๊ก" สำแดงทรัพย์สินเท็จ ดอดลงบันทึกประจำวันตำรวจบางยี่ขัน ยันไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวหลังถูกอ้างชื่อซื้อขายพระเครื่อง เปิดแผนผังพฤติกรรมความเชื่อมโยง บิ๊กโจ๊ก - เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.
จากกรณีที่มีผู้เข้าร้องทุกข์ตำรวจ บก.ปปป. ให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับ นายสมบัติ ธรธรรม , นายจัตุรงค์ พานิซเจริญ และ น.ส.อารยา งามล้วน 3 เจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในความผิดฐาน “ร่วมกันกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่” รวมถึงแจ้งดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ และ นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ เฮียอั้ง เมืองชล เซียนพระชื่อดัง ในฐานความผิดเป็นผู้ใช้หรือตัวการร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. กรณีดำเนินการหรือสร้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประกอบการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก่อนที่ต่อมาทาง พนักงานสอบสวน บก.ปปป. จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งต่อให้กับทาง ป.ป.ช. ดำเนินการพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมาย ตามที่เคยมีการนำเสนอไปแล้วนั้น
ควมคืบหน้าคดีดังกล่าวล่าสุด เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 15 เม.ย. ที่ สน.บางยี่ขัน ร.ต.สมพร กุลวานิช อายุ 89 ปี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด พยานคนสำคัญในคดีดังกล่าว ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.วรธน อิ่มวิทยา รอง สว.(สอบสวน) สน.บางยี่ขัน เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าไม่เคยรู้จักกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นการส่วนตัว หลังถูกนำชื่อไปแอบอ้างในการสร้างพยานหลักฐานเท็จชี้แจงที่ไปที่มาทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก่อนหน้านี้
สำหรับคำให้การของ ร.ต.สมพร ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน มีใจความทำนองว่า ไม่เคยพบเจอหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามคำกล่าวอ้างของ นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ เฮียอั้ง เมืองชล เซียนพระชื่อดัง ที่เคยปรากฏในสื่อต่างๆ ซึ่งมีการอ้างว่า เหตุที่ต้องให้เงินจำนวนมากกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จากการเช่าพระแต่ละองค์ นั้นเป็นเพราะว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนกลางแนะนำติดต่อให้เช่าพระจากตน
ทั้งนี้จากคำให้การของ ร.ต.สมพร พบว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ค่อนข้างสอดคล้องกับพยานหลักฐานต่างๆที่ทางพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ตรวจพบเจอในเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิทของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยเฉพาะบันทึกข้อมูลการสนทนาต่างๆ ซึ่งข้อมูลหลักฐานเหล่านี้ทางพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้รวบรวมส่งให้กับทาง ป.ป.ช. พิจารณา ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทราบว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
สำหรับผังรายชื่อผู้ที่ถูกแจ้งความเอาผิดในคดีดังกล่าวนั้น มีด้วยกัน 6 คน ประกอบด้วย 1. นายสมบัติ ธรธรรมอายุ 68 ปี ตำแหน่งอนุกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ ป.ป.ช. หลังพบหลักฐานว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมกันทำเอกสารชี้แจงที่มาทรัพย์สิน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ ปกปิดแหล่งที่มาทรัพย์สินหลายกรณี อาทิ จัดแจงสร้างหลักฐานที่มาของเงินค่านายหน้าจากการซื้อขายพระเครื่อง เพื่อชี้แจงที่มาของอาวุธปืน รวมถึงใช้ตำแหน่งในการสร้างเรื่องให้มีการ โต้-ตอบหนังสือให้ชี้แจง ของ ปปช.เพื่อยืดระยะเวลาช่วยเหลือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทั้งนี้จากแนวทางสืบสวนยังพบความเชื่อมโยงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างนายสมบัติกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หลังพบว่า ทางฝั่งของ นายสมบัติ เคยได้รับความช่วยเหลือจากทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในการช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้รับตำแหน่งตามที่ต้องการ รวมถึงเคยได้รับการช่วยเหลือรับรองความประพฤติให้ลูกน้องของตน และ ช่วยจัดหาวัคซีนให้ลูกสาวของนายสมบัติ อีกด้วย
คนต่อมา คือ น.ส.อารยา งามล้วน อายุ 48 ปี เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. พบมีพฤติกรรมในการใช้ตำแหน่งหน้าที่แก้ไขเอกสารคำชี้แจงที่มาทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นเอกสารลับ ที่คณ กรรมการ ป.ป.ช.ได้รับจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการส่งข้อมูลเอกสารหลายครั้ง ผิดหลักขั้นตอนระบบงานของ ป.ป.ช. และเป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของผู้ประสานงาน ทั้งนี้ก็เพื่อแลกกับการได้รับความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของมารดาตนเอง จากเครือข่ายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่คอยช่วยดูแล
คนที่สาม นายจัตุรงค์ พานิซเจริญ อายุ 39 ปี พนักงานไต่สวน ป.ป.ช. หลังพบหลักฐานว่าได้ร่วมกับพ.ต.ท.คริษฐ์ จัดทำเอกสารชี้แจงทรัพย์สินของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเป็นผู้พิมพ์เอกสารยกร่างคำชี้แจงดังกล่าวทั้งที่ปรากฏฎข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นเท็จเช่นกรณีที่มาของรถยนต์เล็กซัส,ทำเอกสารโอนหุ้นลงวันที่ย้อนหลัง,ยอดเงินซื้อขายที่ดินและรายละเอียดเกี่ยวกับนายหน้าซื้อขายพระเครื่อง โดยมูลเหตุแรงจูงใจที่ทำให้นายจัตุรงค์ ต้องทำเช่นนั้นเนื่องจาก เพื่อให้ภรรยาของตนเองได้รับการแต่งดั้งเป็นข้าราชการตำรวจสัญญาบัตรผ่านการอบรมหลักสูตร กอส. รุ่นที่ 49
คนที่สี่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นคนสั่งการให้ พ.ต.ท.คริษฐ์ ดำเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ให้แก้ไขและจัดทำเอกสารคำชี้แจงบัญชีทรัพย์สินเท็จเพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินตนเอง คนที่ห้า พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อายุ 38 ปี ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จัดทำเอกสารชี้แจงทรัพย์สินของ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อันมีข้อมูลที่ป็นเท็จ และ เป็นผู้พิมพ์เอกสารยกร่างค่าชี้แจงดังกล่าวทั้งที่ปรากฎข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จเช่นกรณี ที่มาของรถยนต์เล็กซัส,ทำเอกสารโอนหุ้นลงวันที่ย้อนหลัง,ยอดเงินซื้อขายที่ดินและรายละเอียดนายหน้าซื้อขายพระเครื่อง
คนสุดท้าย นายสมภพ ไทยธีระเสถียร อายุ 66 ปี หรือ เฮียงอั้ง เมืองชล มีพฤติกรรมในการช่วยจัดทำเอกสารที่มีข้อมูลอันเป็นเท็จในการชี้แจงการซื้อ-ขายพระเครื่องเพื่อสร้างแหล่งที่มาของเงินซื้อปืน