xs
xsm
sm
md
lg

ศาลยกฟ้องทุกข้อหา พันธมิตรฯ ชุด 2 คดีชุมนุมสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ชี้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



ศาลอาญายกฟ้องทุกข้อหา กลุ่มพันธมิตรฯ ชุด 2 ชุมนุมสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 ชี้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เพื่อชับไล่ "สมชาย วงศิสวัสดิ์" น้องเขย "ทักษิณ" ที่กระทำทุจริตตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ "ปานเทพ" เผยศาลพิจารณา 5 ประเด็นสำคัญ ด้าน "ทนายอนันตชัย" ชี้ จนท.ฟ้องแบบเหวี่ยงแห ผิด ม.157 ถ้าใครจะฟ้องกลับ ยินดีเป็นทนายให้

 เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 29 มี.ค. ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ชุดที่ 2 หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด,นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์  ,น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์,นายการุณ ใสงาม, นายวีระ สมความคิด, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์,น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือจอย อดีตนักแสดงชื่อดัง  นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ร่วมกับพวกรวม 67 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันชุมนุมปลุกปั่นยุยงก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.- 3 ธ.ค.2551 พวกจำเลยที่ 1-14 ได้ร่วมกันชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอยู่ในความดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. และนำจานรับสัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ ของบริษัท วิทยุการบินฯ ปิดกั้นสะพานกลับรถ ตรวจค้นตัว จนท.บริษัทการบินไทย ร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน  ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ของท่าอากาศยานไทยฯ เสียหาย 627,080 บาทเพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง

ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
 
ในวันนี้จำเลยมาฟังคำพิพากษา มีเพียง พล.ร.ต.มิ้นท์ กลกิจกำจร และ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ที่ป่วยต้องวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาจากโรงพยาบาล ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และญาติจำเลยจำนวนมากต่างมาให้กำลังและติดตามคำพิพากษา
 
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพวกจำเลย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมมาจากหลายอาชีพ ทั้งศิลปิน นักร้อง ดารา สื่อมวลชน อดีตเอกอัครราชทูต มาชุมนุม เพื่อคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตเชิงนโยบาย และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายทักษิณ ชินวัตรหลายคดี โดยเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ มาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนใจผู้อื่น จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกข้อหา


ภายหลังพิพากษา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ว่า ในวันนี้ศาลอาญาพิจารณาประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ความยาว 51 หน้า มีข้อเท็จจริงยุตติ 10 หน้า โดยสรุปแล้ว 1. ข้อหาการฟ้องซ้ำ ศาลเห็นว่าด้วยพฤติการณ์ บุคคล ข้อหาคดีที่เคยมีการฟ้องร้องก่อนหน้านี้และจำเลยหนึ่งราย ร้องเป็นการฟ้องซ้ำการลงโทษจะซ้ำซ้อนหรือไม่ ศาลพิพากษาเห็นว่าพฤติการณ์ ข้อหา บุคคลที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาและสถานที่ เป็นคนละสถานที่ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าไม่ได้เป็นการฟ้องซ้ำ และศาลมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา

ส่วนพฤติการณ์ของรัฐบาล เป็นพฤติการณ์ที่เป็นสาเหตุของการชุมนุม โดยศาลวิเคราะห์จึงการวิเคราะห์ตั้งแค่การก่อตั้งของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเหตุในปี 2551 คือความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างความผิดคดียุพรรคพลังประชาชน ซึ่งทุจริตการเลือกตั้ง มีความพยายามแก้ไขมาตราใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกอำนาจการตรวจสอบของคตส. ในคดีทุจริตคอรัปชั่น โดยศาลเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ เป็นประเด็นของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงการต่อต้านนำปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลกให้กับประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนั้นศาลยังได้พิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งหมด ว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น เป็นการชุมนุมภายใต้กรอบที่มีมีเหตุผลตามรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาการชุมนุมจำเลยทั้ง 67 ราย ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ หรือมีอาวุธอยู่ในครอบครอง ศาลจึงเห็นว่าไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย การก่อกบฏ หรือก่อความวุ่นวาย


ส่วนเรื่องการท่าอากาศยาน ศาลได้มีการะิจารณาวิเคราะห์ จากหลักฐานทั้งหมดด้วยพยานฝ่ายโจทก์เอง พบว่าไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยทั้ง 67 คน ทำความผิดอย่างไรที่ก่อให้เกิดการขัดขวางท่าอากาศยานได้จริงในทางปฏิบัติ แม้แต่ดาวเทียม ซึ่งเป็นทีวีการถ่ายทอดสด ก็ไม่สามารถกระทบต่อสัญญาณการบินได้ และพื้นที่การชุมนุมไม่ได้กระทบต่อการบิน ดังนั้นด้วย พยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับการที่พันธมิตรยุติการชุมนุมแล้วไม่เกิดความเสียหายสามารถดำเนินการบินและให้บริการได้ทันทีสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเสียหาย ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดในการขัดขวาง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินและพื้นที่ชุมนุมไม่กระทบ หรือความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้น

ส่วนการประทะ ซึ่งอาจมีเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม เช่น พยามเข้าพื้นที่บางส่วนของผู้ชุมนุม การขัดขวางของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นการสั่งการของจำเลย 67 คน แต่อาจการกระทบกระทั่งแต่เป็นวิถีของการเกิดขึ้นเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสั่งการ การยั่วยุ ให้กระทำการรุนแรง ศาลพิจารณาจำเลยทั้ง 67 คน ล้วนมีเจตนาอย่างชัดเจน ว่าให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบปราศจากอาวุธ และยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรง ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของภาครัฐในเวลานั้นทั้งการทุจริตการเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่นทั้งนายทักษิณ ชินวัตรและพวกเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาจำนวนมาก รวมถึงศาลพิจารณาการกลับมาของนายทักษิณ ที่หลบหนีไป 15 ปี และการกลับมาขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยข้อความว่าสำนึกผิด ยอมรับการกระทำความผิดแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ มีมูลเหตุของการเจตนารมย์เป็นเรื่องจริง ดังนั้นการชุมนุมจึงไม่ใช่เป็นไปด้วยประโยชน์ส่วนตัวแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

และประเด็นสุดท้าย หลังศาลพิจารณาว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธศาลยังได้พิจารณาพิจารณา เรื่องการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ศาลพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การออกพรก.ฉุกเฉิน ที่กระทำการลงไปเพื่อขัดขวาง งดเว้นสิทธิ์เสรีภาพของประชาชน จะต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมโดยเฉพาะการชุมนุมของพันธมิตรฯ แม้กระทบต่อการบินบ้างแต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นศาลจึงเห็นว่าการกระทำความผิดพรก. ฉุกเฉินจึงไม่เข้าข่าย เพราะว่าได้รับการยืนยันว่าในเวลาต่อมา มีการหลบหนีคำพิพากษาของนายทักษิณ และการยอมรับความผิด แม้จำเลยจะกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้สนามบินอยู่บ้าง แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงไม่เป็นความผิดฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด 67 คน


คำพิพากษาเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งตนสรุปเพียงใจความสำคัญบางส่วนเท่านั้น แต่ความงดงามและความครบถ้วนของเนื้อหาไม่สามารถจะตัดทอนได้จากคำพิพากษาชุดนี้ จนอาจจะบอกว่าเป็นการเยียวยาความรู้สึกของพวกเราในฐานะผู้ที่ถูกกระทำมา 17 ปี ว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยโทษที่รุนแรง โทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือการก่อการร้าย ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแค่พิธีกรเป็นประชาชน เป็นศิลปิน แต่คนที่อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาค ไม่เคยออกมาเรียกร้องหรือเห็นใจของการชุมนุมของพวกเรา แต่คำพิพากษานี้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราที่ต่อสู้และเคารพขบวนการกระบวนการยุติธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้จำเลยจำนวนมากที่มาฟังคำพิพากษา น้ำตาซึม และน้ำตาใหลออกมา เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับความเป็นธรรมจากการพิสูจน์ตัวเองมายาวนาน 17 ปี

เมื่อถามว่าถูกริดรอนสิทธิ์มานานกว่า 10 ปี หากอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่การประทับรับฟ้องจำเลยทั้งหมดใช้สิทธิ์ในการชุมนุมเท่านั้น แม้ไม่ใช่แกนนำแต่ถูกกวาดดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และพวกเขาเหล่านั้นสูญเสียอิสรภาพ ถูกตราหน้ามาตลอด 17 ปีว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ยึดสนามบินผู้ ก่อความไม่มั่นคงทำลายประเทศชาติ เมื่ออ่านคำพิพากษาและพิสูจน์ความจริง เราได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการสู้คดีและในคดีนี้แม้แต่ตนเองที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่ซักคัดค้านด้วยตนเองในสิ่งที่กระทบต่อตนเพื่อพิสูจน์ความจริง ดังนั้นพวกเราไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เราต่อสู้ในทุกประเด็นที่เราสู้ได้ ซึ่งศาลพิพากษาในคดีนี้ นอกจากการตราหน้าแล้วเราสูญเสียการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเสียเงินหลายแสนบาทเพื่อที่จะเดินออกไป ทั้งถูกบันทึกตลอดว่าพวกเราเป็นอาชญากร ทั้งที่พวกเราเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนคำนึงถึงการต่อต้านการทุจริตการเลือกตั้ง และการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถือว่าเป็นคำพิพากษาที่งดงามที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา


นายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความกลุ่มพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนมาทำรับทำคดีนี้ รู้สึกว่าจำเลยทุกคนมีความทุกข์ ใครเพียงพูดให้กำลังใจก็จะโดนฟ้องหมดและฟ้องข้อหาฉกรรจ์โทษประหารชีวิต จริงๆ แล้ว มาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่มิชอบมีอายุความ 15 ปี จะให้ผู้เสียหายฟ้องกลับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีบ้างเพราะจำเลยถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศไปฝั่งลาว เขมร พม่ายังไม่ได้เลย ทำไมพนักงานสอบสวนไม่ฟ้องเฉพาะคนที่มีหลักฐานชัดเจน

การฟ้องแบบเหวี่ยงแหทุกคน ทำให้เดือดร้อนมากถ้ามีใครมาจ้างผมฟ้องพนักงานสอบสวนชุดนี้หรืออดีต ผบ.ตร. ผมก็จะทำให้ จะฟ้องกลับต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมาตรา 200 แจ้งข้อหาเกินต่อความเป็นจริงให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญาสูงขึ้น ต่อไปจะได้ไม่ฟ้องเหวี่ยงแห ส่วนการเบิกความก็สะเปสะปะมาก ความจริงแล้ววันนั้นถ้าไม่มีกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนไหน วันนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังไม่รู้ คุณูปการของพันธมิตรฯ ก็มีเป็นไหมครับ ตาอินกับตานา ทะเลาะกัน ตาอยู่อยู่สบาย

ส่วนนายคณิศร ฑปภูผา ทนายความคนสำคัญ กล่าวว่า คดีนี้ศาลตัดสินด้วยความยุติธรรมและเป็นธรรม พวกเราทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ ส่วนการฟ้องกลับ คงต้องดูคำเบิกความเสียก่อนว่าจะสามารถดำเนินการได้แค่ไหน






กำลังโหลดความคิดเห็น