MGR Online - รองโฆษกอัยการสูงสุด เผย ดีเอสไอ เรียก 2 ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ให้ข้อมูลวันเกิดเหตุ หลัง “ลุงเปี๊ยก” ชี้ภาพบุคคลช่วงเวลาถูกควบคุมตัว เพื่อขยายผลในคดีอุ้มหายฯ
วันนี้ (20 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชั้น 8 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม , นายคณพ ปิ่นทอง ผอ.ส่วนสอบสวนการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 1 และนายน้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด (นายอดิศร ไชยคุปต์) เรียกพยานที่เป็นตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จำนวน 2 ราย ที่เกี่ยวข้องในคดี นายปัญญา คงแสนคำ หรือ "ลุงเปี๊ยก" ถูกตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ข่มขู่บังคับเพื่อให้รับสารภาพคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน ซึ่งพฤติกรรมของตำรวจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.อุ้มหาย) เพื่อสอบปากคำในวันเกิดเหตุ
นายวัชรินทร์ เปิดเผยก่อนเข้าร่วมสอบปากคำพยาน ว่า ที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปสอบปากคำลุงเปี๊ยกที่โรงพยาบาลและให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยแพทย์รับรองลุงเปี๊ยกหายดีแล้ว ไม่มีอาการติดสุรา มีการชี้ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในช่วงเกิดเหตุได้ทั้งช่วงการควบคุมตัวและช่วงการสอบปากคำ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนต้องทำการสอบปากคำพยานเพื่อจะได้นำข้อมูลหรือถ้อยคำของพยานไปขยายความต่อ ส่วน 2 นายตำรวจในวันนี้ที่ถูกเชิญมาให้ปากคำในฐานะพยานนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ลุงเปี๊ยกชี้ภาพ แต่อีกส่วนก็มาจากการที่สอบสวนลุงเปี๊ยก เพราะลุงเปี๊ยกได้บ่งชี้ให้รู้เลยว่าใครอยู่ในห้องสืบสวนบ้าง
นายวัชรินทร์ เผยว่า สำหรับประเด็นที่จะใช้สอบปากคำพยานนั้น มีบุคคลใดทำอะไรกับลุงเปี๊ยกในวันเกิดเหตุบ้าง ใครเกี่ยวข้องอีกบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีพยานหลักฐานที่ได้มาจากการสอบถามลุงเปี๊ยกแล้วก็ตาม แต่ข้อมูลที่ได้รับในวันนี้จะช่วยขยายเพิ่มเติมจากสิ่งที่ลุงเปี๊ยกได้ให้การไว้ นอกจากนี้ ได้แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มประจักษ์พยาน (กลุ่มที่เห็นเหตุการณ์ตอนมีการทำร้าย) และ 2.กลุ่มพยานแวดล้อม (กลุ่มที่อยู่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์) ซึ่งนายตำรวจทั้ง 2 รายนี้อยู่ในกลุ่มพยานแวดล้อม ส่วนจะมีบุคคลใดต้องเข้าให้การเพิ่มเติมในฐานะพยานอีกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับถ้อยคำให้การและพยานหลักฐาน
นายวัชรินทร์ ระบุว่า ส่วนจะมีตำรวจ สภ.อรัญประเทศ มาเกี่ยวข้องกี่รายนั้น ยังไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แต่ในการชี้ภาพของลุงเปี๊ยกก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่หลายราย ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้จะตรวจสอบด้วยว่าการควบคุมตัวลุงเปี๊ยกของ สภ.อรัญประเทศ มีการแจ้งการจับกุมต่ออัยการในท้องที่หรือนายอำเภอในพื้นที่หรือไม่ เพราะมีคลิปวิดีโอหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการนำกุญแจมือสวมใส่กับลุงเปี๊ยก มีการสอบปากคำในห้องสืบสวน มีการแจ้งข้อกล่าวหา มีการฝากขัง ซึ่งถ้าเป็นเพียงการเชิญตัวมาให้ถ้อยคำตามคำกล่าวอ้างก็จะต้องมีการปล่อยตัวลุงเปี๊ยกกลับบ้าน แต่การกระทำลักษณะนี้ถือเป็นความผิดในการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่
"สำหรับการกระทำความผิดเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ คือ ไม่มีการแจ้งรายงานไปยังพนักงานอัยการในท้องที่หรือนายอำเภอในพื้นที่ให้รับทราบถึงการควบคุมตัวผู้ต้องหา รวมถึงยังไม่มีการบันทึกภาพและเสียงในระหว่างการควบคุมตัวลุงเปี๊ยก ทั้งยังมีการบังคับขู่เข็ญหรือกระทำการใดให้บุคคลนั้นขาดซึ่งอิสรภาพและได้คำสารภาพมาโดยมิชอบ" รองโฆษกอัยการสูงสุด กล่าว
ส่วนการประชุมวานนี้ (19 มี.ค.) ณ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด นายวัชรินทร์ ระบุว่า ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่าสำนวนคดีลุงเปี๊ยกในมิติของการซ้อมทรมานและอุ้มหาย ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จะต้องดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือน พ.ค. โดยจะมีการสรุปสำนวนและส่งฟ้องต่อศาลทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามลำดับขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 10.20 น. ดาบตำรวจปิยวุฒิ สิงห์วงศ์ (พยานนายตำรวจชั้นประทวน สภ.อรัญประเทศ) เดินทางเข้าให้ปากคำกับคณะพนักงานสอบสวน โดยมี นายคณพ ปิ่นทอง ผอ.ส่วนสอบสวนการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 1 เป็นผู้นำตัวไปสอบปากคำ ส่วนพยานอีก 1 รายที่จะต้องให้ปากคำในช่วงบ่าย คือ พ.ต.ต.นิติรัฐ ศรีสวัสดิ์ สว. (สอบสวน) สภ.อรัญประเทศ ในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น.