MGR Online - “บิ๊กหลวง” แถลงจับกุมเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ผู้ต้องหา 3 ราย นำเข้าโคเคน 5,360 กรัม ขายย่านสถานบันเทิง แจงพร้อมปิดด่านชายแดนเพิ่มป้องกันยาบ้าทะลัก
วันนี้ (11 มี.ค.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผู้บังคับการปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. และ นายอภิชาติ ใจงาม ผู้เชี่ยวชาญกองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมแถลงการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จับกุมชายชาวผิวสี 3 คน ของกลางโคเคน 5,360 กรัม ส่งจากสหรัฐอเมริกา เตรียมปล่อยขายในสถานบันเทิง
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มี.ค.67 ชุดปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดผ่านท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task Force : AITF) ตรวจยึดพัสดุระหว่างประเทศ (ขาเข้า) ของกลางโคเคน 5,360 กรัม ซุกซ่อนภายในแกนกลางราวเหล็กตากผ้า จำนวน 5 ชุด ต้นทางพัสดุส่งมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุเกิดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวอีกว่า ประกอบกับสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการ “นานาอุ่นใจ” บริเวณพื้นที่ย่านนานา ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ พบว่าในพื้นที่ดังกล่าว มีกลุ่มชาวแอฟริกันตะวันตกนำยาเสพติดมาจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งยังแฝงอยู่กับปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ อาทิเช่น การค้าประเวณีก็มักจะมีการเสนอขายยาเสพติดให้แก่ลูกค้าด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ค้าประเวณีจะได้รับส่วนแบ่งจากการขายยาเสพติดจากกลุ่มชาวแอฟริกันตะวันตก
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวต่อว่า จึงสั่งการให้ นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. มอบหมายชุดปฏิบัติการ จับตากลุ่มเครือข่ายชาวแอฟริกันตะวันตกอย่างใกล้ชิด ซึ่งหลังจากทราบว่ามีการตรวจยึดโคเคนครั้งนี้ ชุดปฏิบัติการได้ขยายผลและวางกำลัง เข้าสังเกตการณ์ ณ จุดรับพัสดุ ก่อนสามารถจับกุมผู้ต้องหาชายชาวผิวสี 3 คน ที่มารอรับพัสดุที่ซุกซ่อนโคเคน 5,360 กรัม และขยายผลตรวจค้นห้องพัก ในพื้นที่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ พบอุปกรณ์ที่ใช้ในการซุกซ่อนยาเสพติด คือ ถุงพลาสติกแบ่งบรรจุ เครื่องชั่งดิจิทัล เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือ มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต
“จากการสืบสวนยังพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาชาวผิวสีทั้ง 3 คน มีพฤติการณ์ร่วมกับเครือข่ายจัดส่งยาเสพติดในพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่ ปี 2563 - ปัจจุบัน โดยเกี่ยวข้องกับการยึดพัสดุซุกซ่อนยาเสพติด จำนวน 4 คดี ขยายผลจับกุมผู้ต้องหา รวม 8 คน (ชาวผิวสี 7 คน หญิงไทย 1 คน) ของกลางโคเคน 12.7 กิโลกรัม เอ็กตาซี 6,613 เม็ด ก่อนหน้านี้”
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า โดยจากสถิติการจับกุม ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task force : AITF) และ สกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force : SITF) ในห้วงปี 2565-2566 กว่าครึ่งหนึ่งพบผู้เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายแอฟริกันตะวันตก และส่วนใหญ่นำเข้ายาเสพติดประเภทโคเคนจากอเมริกาใต้ ปี 2565 จำนวน 26 คดี ผู้ต้องหา 32 คน ของกลางโคเคน 59.215 กรัม ไอซ์ 15.157 กรัม เฮโรอีน 4.054 กรัม (พบผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายแอฟริกันตะวันตก 13 คดี ผู้ต้องหา 13 คน ของกลางโคเคน 23.09 กรัม) และ ปี 2566 จำนวน 41 คดี ผู้ต้องหา 49 คน ของกลางเฮโรอีน 184.91 กก. ไอซ์ 166.744 กก. โคเคน 48.439 กก. คีตามีน 73.345 กก. เอ็กซ์ตาซี 3,598 เม็ด ยาบ้า 12 เม็ด (พบผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายแอฟริกันตะวันตก 20 คดี ผู้ต้องหา 24 คน ของกลางโคเคน 35.959 กก. เฮโรอีน 8.97 กก.)
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ ในวันที่ 25 มี.ค. เตรียมประชุมบอร์ด ป.ป.ส. เพื่อพิจารณาความร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการป้องกันประกาศเพิ่มพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการสกัดกันและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ตามแนวชายแดนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมเป็น 13 จังหวัด 39 อำเภอ อาทิ จ.ตาก แม่ฮ่องสอน บึงกาฬ เลย หนองคาย น่าน มุกดาหาร และ อุบลราชธานี เป็นต้น เพื่อลดการลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ชั้นในของประเทศ